รีเซต

ผลการค้นหา “Burnout Syndrome” - ทรูไอดี

ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
วิธีจัดการกับสภาวะหมดไฟ( Burnout syndromes )
อ่าน

วิธีจัดการกับสภาวะหมดไฟ( Burnout syndromes )

สวัสดีค่าเพื่อนๆชาว True ID ทุกคนวันนี้มิลค์ก็มีสาระสำคัญมาฝากอีกเช่นเคยค่ะ เชื่อว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน ความรัก หรือภาระต่างๆในชีวิตมันก็สามารถทำให้เราหมดไฟหรือเรียกอีกอย่างนึงว่าอาการ Burnout Syndrome นั่นเอง ซึ่งหลายคนกำลังตกอยู่ในสภาวะนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ T_T แต่ไม่ต้องกลัวและหมดกำลังใจไปนะ เป็นได้ก็แก้ได้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกันว่าอาการหมดไฟที่ว่านี้ มีวิธีแก้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ~Burnout Syndrome สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ขาดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน หรือไม่มีความบาลานซ์ชีวิตในหลายๆเรื่อง ทำให้เกิดการเหนื่อยหน่ายท้อแท้ มีความกดดัน ความคาดหวัง ทำให้มีทัศนคติในด้านลบกับตัวเองละคนรอบข้าง จึงนำไปสู่ภาวะภาวะหมดไฟในที่สุด สิ่งที่สามารถนำพาทุกคนกลับมาอยู่สภาวะปกติได้ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะเดี๋ยวเราเช็คเป็นข้อๆกันไปเลย 1. จัดระเบียบการใช้ชีวิต เรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง เพียงแค่คุณทำสิ่งนี้ได้ชีวิตจะดีขึ้นแบบ200%เลย มันทำให้เราได้นั่งทบทวนตัวเองว่า สิ่งไหนที่เราควรจะทำและสิ่งไหนที่เราควรจะปล่อย เราจะเลือกทำสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิตดีกว่าต้องมานั่งเสียเวลาและสุขภาพจิตให้กับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่างๆ  2.หากิจกรรมที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย ฝึกเล่นโยคะ ศิลปะ ตกแต่งบ้าน ทำสมาธิ ถ่ายคลิปทำอาหาร การทำอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองไม่ใช่เรื่องเสียเวลา เพราะที่ผ่านมาเราก็ทำให้คนอื่นมามากแล้วเหมือนกัน นี่ก็ถือว่าเป็นการให้รางวัลคนเก่งกับตัวเองจริงๆ 3. งดเข้าโซเชียลบ้าง บางทีข่าวสารต่างๆในโลกออนไลน์ก็ทำให้เราเครียดได้เหมือนกันนะ บางคนไปรับรู้ชีวิตคนอื่นมากเกินไปจนเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเองจนรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่เก่ง อย่าคิดแบบนั้นนะคะ ทุกคนล้วนมีค่าหมด ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง ตอนนี้ที่มีชีวิตอยู่และผ่านไปแต่ละวันไดนี่ก็เก่งมากแล้ว เราต้องให้กำลังใจตัวเองทุกวัน คิดบวกๆเข้าไว้ และพลังงานด้านบวกก็จะถูกดึงกลับมาหาเราเองค่ะ  4. เปิดใจคุยกับคนใกล้ชิด เป็นวิธีระบายอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อย่างน้อยก็ยังมีคนที่รักเรา คอยให้กำลังใจเรา เช่นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท เราสามารถสื่อสารให้เค้าเข้าใจได้ ที่สำคัญเราต้องปรับทัศนคติของตัวเองด้วย เพราะทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน  5.แบกเป้เที่ยวเลยจ้า ไหนๆก็ไหนๆละ เที่ยวแก้เครียดซะเลย^_^* การไปในสถานที่แปลกใหม่ก็เป็นการเยียวยาตัวเองอย่างดีเลยล่ะ เผลอๆกลับมาเราอาจจะได้ไอเดียดีๆในการไปต่อยอดอะไรได้อีกหลายอย่างอีกด้วย เป็นอย่างไงบ้างคะกับวิธีจัดการกับเจ้าตัวปัญหาที่ทำให้เราหมดไฟ ส่วนตัวมิลค์เองตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำได้หมดทุกข้อ ตอนนี้ทำได้แค่เริ่มต้นที่รักตัวเองเริ่มมีแรงบันดาลใจและหาเป้าหมายในชีวิตให้เจอ ทำให้มิลค์รู้แล้วว่าต่อจากนี้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันไม่สูญเปล่า คิดได้แค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ ถ้าเพื่อนๆทำได้ซักข้อสองข้อก็ดีมากแล้ว มิลค์เป็นกำลังใจให้สำหรับทุกคนที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่นะคะ ยังไงก็ต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน สำหรับครั้งหน้ามิลค์จะเอาเรื่องอะไรมาฝาก รอติดตามกันด้วยนะ วันนี้ไปแล้วค่ะ บ้ายบาย~  ภาพที่1โดย geralt จาก pixabayภาพที่2โดย geralt จาก pixabayภาพที่3 โดย Silviarita จาก pixabayภาพที่4 โดย Silviarita จาก pixabayภาพปกโดย geralt จาก pixabayเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

เมื่อเราเจอสภาวะหมดไฟในการทำงานหรือ Burnout syndrome
อ่าน

เมื่อเราเจอสภาวะหมดไฟในการทำงานหรือ Burnout syndrome

บางครั้งการที่เราทำงานหนักเกินไปจนรู้สึกเบื่อ หรือล้ากับงานที่ทำจนไม่มีกะจิตกะใจจะตื่นเช้ามาทำงานจนเกิดเป็นอาการป่วยทางจิตขึ้นมา แล้วแบบไหนที่เรียกว่าป่วยทางจิตและแบบไหนที่เรียกว่าปกติล่ะ... ถ้าเราเบื่องานเป็นชั่วครั้งเชื่อคราว หรือเบื่อบ้างไม่เบื่อบ้าง เชื่อว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้าเราเริ่มหูแว่ว คิดวนๆแต่เรื่องงาน หดกะจิตกะใจ และไม่อยากใช้ช้ชีวิตอยู่ จนเกิดเป็นสภาวะหมดไฟในการทำงาน จนเกิดผลลัพท์เป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล สภาวะนี้เกิดขึ้นได้เมื่อเราหมดไฟที่จะทำงานแล้วไม่ว่าบรรยากาศหรือเนื้องานจะเป็นยังไง ง่ายดายแค่ไหน เพื่อนร่วมงานดีด้วยยังไง เขาก็จะรู้สึกเบื่อไปหมด ไม่อยากทำ หมดอารมณ์ ไม่มีกะจตกะใจจะทำงานอีก ซึ่งเรื่องครอบครัวหรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างอาจไม่เกี่ยวกับสภาวะนี้ เพราะเมื่อเราทะเลาะกับคนที่บ้าน เราก็รู้ว่าต้องออกห่าง เดินหนี หลีกเหลี่ยงการทะเลาะ หรือทำยังไงให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่เหตุการณ์นี้กลับไม่ใช่ บางทีมันอาจเกิดจากแค่ อารมณ์ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานเฉยๆก็ได้ซึ่งพอเราตื่นมาแล้ว ไม่อยากไปทำงาน ต่อให้เอางานกลับมาทำที่บ้านก็ไม่อยากทำมัน ไม่อยากไปยุ่งกับมันอีกแล้ว มองว่างานคือภาระ คุณรู้สึกแย่กับตัวเอง และไม่รู้วิธีที่จะแก้ไขมันยังไงดี ทั้งๆที่ไม่มีปัญหาสุขภาพกาย ไม่มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างอย่างทีเราต้องรู้ก่อนก็คือวิธีจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง ถ้าคุณมองว่างานคือภาระ มันก็จะเป็นแค่ภาระ คุณลองมองว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าให้ชีวิตและความรู้สึกของคุณมั้ย พยายามอย่าคิดถึงปัญหาหรืออารมณ์ที่เป็นแง่ลบ และเราก็ต้องดูด้วยว่าความเบื่องานนี้ส่งผลกระทบอะไรต่อชีวิตส่วนตัวของเราหรือเปล่า ลูกไม่ได้เรียนต่อ เราไม่มีเงินกินข้าว พ่อแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าใช้  แล้วเราสามารถควบคุมได้หรือเปล่าถ้าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดกับชีวิตเรา คือเราใช้เงินที่เหลืออยู่จนหมดตัวและไม่เหลืออะไรเลย แม้ขายของเก่ากินก็ไม่เหลืออะไรแล้วถ้ามันอยู่ในอารมณ์ที่เรายังอดทนได้เราก็ทนๆไป แต่ถ้าอยู่ในสภาวะอารมณ์เกินขอบเขตที่ควบคุมไม่ได้แล้ว แต่ลาออกไม่ได้ ถ้าอยู่กับมันช่วงสั้นๆก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่กับมันะยะยาวนาน ก้ต้องกำหนดเป้าหมาย ว่าเราจะทำงานให้เสร็จภายใน 7 วันนี้ แล้วพักผ่อนต่อ เพราะคงไม่มีใครในชีวิตที่ทำแต่งานได้ และไม่มีใครในชีวิตที่พักผ่อนไปได้ตลอด เมื่อเราพักผ่อน ใช้ชีวิตส่วนตัวกับเรื่องที่เราชอบ เราก็คงอยากจะกลับไปทำงานอีกลองเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานและเมื่อทำงานถึงเป้าหมายก็มีการให้รางวัลตัวเอบ้าง เช่น หาเงินพาตัวเองไปเที่ยวในที่ๆไม่เคยไป กินอาหารที่ไม่เคยกิน อ่านหนังสือที่อยากจะอ่านมานาน หรืออยู่บ้านกอดแมวดูหนังที่ชอบ ทำสิ่งต่างๆ แล้วความเครียดก็อาจจะผ่อนลงหรือหายตัวไป หรือไม่ก็ออกไปหาเพื่อนที่ไว้ใจได้ พยายามปลอบใจตัวเองว่าในช่วงที่อารมณ์ดิ่งถึงขั้นดาวน์ที่สุดก็ยังมีอะไรดีๆอยู่รอบๆตัว  ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเอง เราจะผ่านมันไปได้แน่นอนค่ะขอบคุณเครดิตรูปภาพ หน้าปกรูปภาพประกอบที่ 1 โดย / 2 / 3 โดย www_slon_pics

หนียังไง!! ภาวะหมดไฟในวัยรุ่น (Burnout Syndrome)
อ่าน

หนียังไง!! ภาวะหมดไฟในวัยรุ่น (Burnout Syndrome)

               ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องตลก (Burnout Syndrome) คุณผู้อ่านเคยเป็นอาการนี้ หรือมีคนรอบข้างเป็นบ้างหรือเปล่าคะ? งั้นเรามาทำความเข้าใจ และเช็คอาการไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้เลยค่า ที่ผู้เขียนหายไปนานเพราะว่าถูกอาการนี้เข้าแทรกแซงเต็มที่ แล้วใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้มาสักระยะหนึ่งแล้วค่ะ กว่าจะลุกขึ้นมาเขียนเล่าประสบการณ์ที่เป็นของตัวเองนี้ ต้องใช้ความพยามมากค่ะ แถมแอบผลัดวันเขียนไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีเป้าหมายและสาเหตุ คิดดูจริง ๆ แล้วนี่ไม่ใช่ความขี้เกียจนะคะ แต่เพราะสิ่งดังต่อไปนี้ต่างหากค่ะ1. ความน่าเบื่อของงาน สำหรับหลายท่านที่เป็นอาการนี้ มักจะมีเหตุผลส่วนตัวเสมอแตกต่างกันไป ในกรณีของผู้เขียนที่ชอบความท้าทายในชีวิตมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อย เมื่อต้องไปเจอกับงานที่มีสถานการณ์ซ้ำจำเจ ไร้ความตื่นเต้น ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ องค์กรไร้ความชัดเจนด้านนโยบายบริหาร ตนเองเลยมองไม่เห็นการพัฒนาทักษะ ฝีมือและสังคม (อาการก็เหมือนกับหมดใจคนรัก ไปต่อด้วยกันไม่ได้แล้ว แต่ยังต้องฝืนทนอยู่ หึ้ยความรักมันต้องรู้สึกดีสิ งานก็เช่นกัน จนวันหนึ่งพยายามบอกให้ตัวเองมีความสุขไม่ได้แล้ว) 2. บุคลิกภาพส่วนตัวของแต่ละบุคคล กลุ่มที่สุ่มเสี่ยงที่สุดเลย คือ ผู้ที่มีมาตรฐานการทำงานสูง (Perfectionism) ขาดความยืดหยุ่น แน่นอนพวกเขาต้องจริงจัง มีระเบียบ ผลงานต้องดีจนมีความคาดหวังจากคนรอบข้างสูง โดยเพื่อนร่วมงาน ครอบครัวและคนรู้จัก เอาไปเลยฉายาคุณชายคุณนายเนี๊ยบ ที่เต็มที่กับทุกสถานการณ์ (ใส่ใจให้ใจมอบใจร้อยเต็มร้อย พลังเต็มเปี่ยมสุด ๆ ระวังสะดุดล้มเพราะจริง ๆ ไม่ใช่ทุกที่จะต้องการความใส่ใจ แล้วเราก็คิดว่ามันควรมีนะคะ) 3. เจ้านายเย็นชากับปู่ย่าตายายที่ไม่ฟังความ ผู้อาวุโสไม่รับฟังความคิดเห็น เกิดความขัดแย้งกับค่านิยมระหว่างช่วงวัย ได้ทั้งในที่ทำงานและครอบครัว หรือขนาดวัยเดียวกันเติบโตมากันคนละสังคม จูนแนวคิดกันไม่ติด กรณีตัวอย่างที่พบมา คือ เด็กรุ่นใหม่ในเมืองสนใจผลงานของผู้ใหญ่ ว่าเจ๋งกับสังคมมากแค่ไหนถึงจะให้ความเคารพ แต่เด็กในชนบทจะมองเพียงอายุที่เยอะกว่า ไม่กล้าตัดสินใจ และชอบไหว้วานผู้ใหญ่ (ก็ไม่ได้ตัดสินเหมารวมทั้งหมดนะคะ แค่บางส่วนที่เจอมาค่ะ)ปีก่อนเห็นกรมสุขภาพจิตเผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยของ CMMU หัวข้อ BURNOUT IN THE CITY ชาวกรุงวัยทำงานเกินครึ่งเสี่ยงหมดไฟ ผู้เขียนมาสรุปให้สั้น ๆ เพิ่มว่า 1. ผู้หญิงเป็นเยอะกว่าผู้ชาย 2. กลุ่ม Gen Z มีอาการนี้สูงสุด ส่วนน้อยที่สุดจะเป็น Baby boomer 3. สายงานรัฐวิสาหกิจมีอาการเยอะสุด น้อยสุด คือ งานธุรกิจส่วนตัวค่ะ1. ทางด้านอารมณ์ รู้สึกเบื่อเซ็ง ขาดแรงจูงใจ เฉื่อยชา เครียดหดหู่ หรือเรียกอีกอย่างได้ว่าหมด Passion หากอาการรุนแรงขึ้น จะทำให้มีความผิดปกติทางอารมณ์ ในลักษณะหงุดหงิดง่าย 2. ทางด้านร่างกาย ปวดหัว ปวดหลัง ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง เพลียง่ายร่างกายอ่อนล้า3. ทางด้านพฤติกรรม แยกตัวออกจากสังคม หลบหน้าเลี่ยงการพบปะผู้คน นอนเยอะขึ้นแบบไม่เป็นเวลา ติดแอลกอฮอล์ อาการรุนแรง ไปจนถึงพูดจาไม่ได้โดยไร้สติ เอาเป็นว่าหลายท่านที่สงสัยว่าตัวเองมีอาการภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) ไม่ต้องเข้าข่ายตามนี้ 100 % หรอกค่ะ ลองสำรวจตัวเองทบทวนจิตใจดู ว่ามีลักษณะใกล้เคียง 60 % ขึ้นไป ก็ต้องรีบรักษาแล้วนะคะ หรือหลีกเลี่ยงจากอาการนี้โดยวิธีเหล่านี้ค่าลาพักผ่อน เพื่อไปทำกิจกรรมยามว่างที่ชอบ เช่น ดูภาพยนตร์หรือซีรีส์สักเรื่อง ที่ให้แรงบันดาลใจกับชีวิต เมาท์กับเพื่อนให้สนุก สำหรับผู้เขียนแอบแบกกระเป๋าไปเที่ยวมา การผจญภัยก็ช่วยให้หัวใจกระชุ่มกระชวยขึ้นเยอะเลย เลี่ยงการใช้โซเชียลมีเดีย ถอดปลั๊กตัวเองออกจาก Facebook, Instagram, Tiktok ดูนะคะจะได้ไม่ผ่านไม่เจอข้อมูลที่ไม่สร้างสรรค์ และพลังลบ พอวางโทรศัพท์มือถือยาว ๆ ก็รู้สึกว่าเรามีเวลายาวนานขึ้นให้ตัวเองเยอะมากในหนึ่งวันหาอาหารอร่อยกิน อาหารจานโปรดที่ทำให้ใจพองฟู หรือบุฟเฟ่ต์จะเยียวยาทุกสิ่ง นี่มีหลายระดับหลายราคาหลากสัญชาติอาหาร เลือกที่สะดวกและพอใจกันไปค่าพึ่งศาสนา หากพึ่งพาตัวเองสุด ๆ แล้วยังไม่หายดี เห็นทีต้องเข้าวัด เข้าโบสถ์ เข้าสุเหล่า เข้าสำนัก เอาสักที่ตามความศรัทธา สวดมนต์ให้จิตใจผ่องใส สร้างความสบายใจในพื้นที่สงบ ช่วยเยียวยาจิตใจตนเองที่ตัวเราทำร้ายมานานสุดท้ายแล้วต้องปรับทัศนคติให้ดี ว่าความเครียดระดับหนึ่ง (ที่เรียกว่าเล็กน้อย) ก็เป็นสิ่งดีที่ทำให้เราโฟกัสงานมากขึ้น สิ่งนี้ก็เร่งให้งานเสร็จได้ดีเลยแหละค่า ขอให้ภาวะหมดไฟอย่ามาเยือนท่านอีกครั้ง หลีกเลี่ยงการสนทนากับคนที่มีพลังงานลบ ไม่ถึงกับต้องทำทุกสิ่งที่แนะนำนะคะ เลือกเอาที่สะดวกกายสะดวกใจ จะดีต่อตนเองมากเลยค่ะ ขอบอกเลยว่าคุณโชคดีมากค่ะที่พบกับบทความนี้ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ เพราะผู้เขียนจะมาแชร์ความรู้ด้านสุขภาพจิตในสังคมไทย แบบเข้าใจง่ายกันอีกครั้งค่าผู้เขียน https://creators.trueid.net/@MoonaKข้อมูลงานวิจัยของ CMMU หัวข้อ BURNOUT IN THE CITY ชาวกรุงวัยทำงานเกินครึ่งเสี่ยงหมดไฟhttps://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=3017 เครดิตภาพ :ภาพปก pixabay / canvaภาพที่ 1 pixabay / canvaภาพที่ 2 pexels / canvaภาพที่ 3 pixabay / canvaเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

Burnout Syndrome สัญญาณอันตราย ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
อ่าน

Burnout Syndrome สัญญาณอันตราย ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด

            ในปัจจุบันคนเริ่มหัดมาใส่ใจสุขภาพร่างกายกันมากขึ้น และสุขภาพจิตของคนกลับแย่ลงเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสังเกตได้จาก การเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคไบโพลาร์เพิ่มขึ้น  อันเนื่องมากจากความเครียด ปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ทำให้คนเกิดการแข่งขันกันตลอดเวลา การทำงานที่นับว่ันจะหาความสุขได้น้อยลง แต่ที่แย่กว่านั้นอาจจะเป็นสังคมการทำงาน ดังนั้นจะมองว่าเรื่องของสุขภาพจิตเป็นเรื่องไกลตัวไม่ได้ การทำงานนั้นมีผลกระทบต่อชีวิตมากกว่าที่คุณคิด ถ้าเกิดภาวะ Burnout Syndrome ขึ้นเราจะมีวิธีในการจัดการและรับมือกับมันอย่างไร Burnout Syndrome คือภาวะหมดไฟในการทำงาน สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลหรือกลุ่มคนที่เครียดกับสภาวะการทำงานเป็นเวลาต่อเนื่องกัน ไม่สามารถจัดการกับความเครียด และความกดดันที่เกิดขึ้นจากการทำงานได้ จนส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจและทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ทำให้ไม่มีความสุขกับการทำงาน จนอาจจะนำไปสู่ความรู้สึกหมดคุณค่าในตนเองได้ ซึ่งสัญญาอันตรายที่บ่งบอกถึงอาการมีดังนี้ ภาพโดย StartupStockPhotos จาก Pixabay  สัญญาณเตือนของกลุ่มคนที่เริ่มมีอาการภาวะหมดไฟในการทำงานนั้นเริ่มสังเกตได้จากจุดเล็ก ๆ นั่นก็คือ ให้สังเกตอารมณ์ของคนเหล่านั้น จะมีอาการหดหู่ ซึมเศร้า เกิดอารมณ์แปรปรวน ไม่พอใจ มีอาการหงุดหงิด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ซึ่งอาการทางอารมณ์นี้อาจจะดูใกล้เคียงกับไบโพล่าร์ หรือภาวะซึมเศร้าได้ ดังนั้นจำเป็นจะต้องคอยสังเกตให้แน่ชัด สังเกตความคิดและทัศนคติของคนที่มีอาการภาวะหมดไฟในการทำงาน ซึ่งจะส่งผลต่อความคิดและทัศนคติทำให้นิสัยใจคอเปลี่ยนไปเช่น จากอารมณ์แปรปรวน มีการโทษผู้อื่นเสมอ อีกทั้งยังมีอาการระแวงไม่ไว้ใจใคร ทำให้คนเหล่านั้นมีการหนีปัญหา ไม่ยอมรับความจริง และไม่จัดการกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เพื่อนร่วมงานเกิดอาการเบื่อหน่ายกับคนกลุ่มนี้ บางรายอาจจะอยู่ในกลุ่มที่หดหู่ ซึมเศร้า เช่นรู้สึกไม่มั่นใจในการทำงานของตัวเอง ไม่กล้าที่จะรับงานสำคัญ มีความรู้สึกหวาดกลัวหรือระแวง เป็นต้น สังเกตทางด้านพฤติกรรมหรือการกระทำของคนที่อาจจะมีแนวโน้มเป็นภาวะหมดไฟในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการขาดงานบ่อย ๆ หรือมาสายเนื่องจากไม่อยากไปทำงาน หรือสังเกตจากการมาสายติดต่อกัน ไม่มีสมาธิในการทำงาน และไม่สนใจงานที่ทำ เนื่องจากไม่มีความสุขในการทำงาน มีข้ออ้างให้การลางานมากมาย ภาพโดย Jan Vašek จาก Pixabay              จากจุดสังเกตเหล่านี้จะพบว่า ความเครียดที่สะสมอยู่ในขณะที่ทำงาน ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ส่งผลให้คนกลุ่มนี้ที่มีอาการหมดไฟในการทำงาน ไม่อยากที่จะทำงานและไม่มีความสุขในการทำงาน ส่งผลในด้านพฤติกรรม ความคิดและทัศนคติของคนเหล่านี้ แล้วยังส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อยู่รอบข้างอีกด้วย             โดยทั่วไปแล้ววิธีในการลดพฤติกรรมหรืออาการที่เกิดจากภาวะอาการหมดไฟในการทำงานนั้นสามารถกระทำได้ แต่ต้องเป็นการยินยอมจากคนกลุ่มนี้ มิเช่นนั้นการรักษาหรือการแก้ไขจะไม่เกิดผล ซึ่งสามารถแก้ไขโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเช่น เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงานหรือสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อลดความตึงเครียดและความกดดันที่เกิดจากการทำงาน พยายามที่จะเปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นให้เพิ่มมากขึ้น และมีการขอความช่วยเหลือหรือปฏิเสธการรับงานที่มากเกินไป เพื่อปรับให้การทำงานนั้นอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ การแบ่งเวลาในการออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ทำการฟื้นฟูและเป็นการพักฟื้นจากสภาวะการเหนื่อยล้าสะสมที่เกิดจากการทำงาน ภาพโดย 200 Degrees จาก Pixabay              ในปัจจุบันการพบแพทย์จิตเวช เป็นเรื่องที่เปิดกว้างและสามารถเป็นที่ยอมรับได้ในสังคม เนื่องจากอาการเหล่านี้เมื่อทราบว่าตัวเองเป็นเร็วจะสามารถแก้ไขได้รวดเร็ว และทันท่วงที ก่อนที่อาการจะเป็นหนักมากกว่านี้ ดังนั้นการที่ได้ไปพบปะพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้ทำการปรึกษาพูดคุยกับแพทย์ อาจจะทำให้สามารถหาทางออกของปัญหา ที่กำลังประสบอยู่ได้ดีกว่าการเก็บปัญหาไว้คนเดียว             สุดท้ายนี้ งานเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีเงินเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่งานไม่ควรเป็นตัวขีดคั่นความสุข หรือนำไปใช้คาดหวังจนมากเกินไปในอนาคต การทำงานใดก็ตามนั้น เมื่อความสุขและงานผนวกเข้าไปด้วยกัน จะทำให้งานที่ทำออกมาอยู่ในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ไม่จำเป็นเลยว่างานที่ทำนั้นจะดูเล็กน้อยและดูไร้ค่าสำหรับผู้อื่น แต่งานทุกงานล้วนมีคุณค่าในตัวของมันเอง ภาพโดย Claudio_Scott จาก Pixabay              ขอให้ผู้อ่านทุกท่านเปิดใจที่จะยอมรับในสภาวะความตึงเครียดของงาน แต่ไม่ควรหักโหมที่จะทำงานจนมากเกินไป และอย่าเอางานที่ทำงานมาทำที่บ้าน เพื่อให้เวลาตัวเองได้พักผ่อนอยู่กับครอบครัว และใช้ชีวิตมีความสุขบ้าง เวลาเป็นดั่งสายน้ำที่ไม่อาจไหลย้อนกลับ เงินไม่สามารถซื้อเวลาได้ แต่เราสามารถใช้เวลาในการสร้างความสุขได้ ออกแบบภาพหน้าปกโดยใช้ canva

Burnout Syndrome: ชีวิตหมดไฟ เติมเชื้อเพลิงอย่างไรดี
อ่าน

Burnout Syndrome: ชีวิตหมดไฟ เติมเชื้อเพลิงอย่างไรดี

  ชีวิตเราทุกวันนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคหลายอย่างที่เข้ามาถาโถมจนทำให้ใครหลาย ๆ คนอาจมีความรู้สึกท้อแท้ หมดหวัง หมดกำลังใจในการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตในประจำวัน ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นอาการของโรค Burnout Syndrome (ภาวะหมดไฟ) มาดูกันว่าเราจะจัดการกับอาการเหล่านี้อย่างไร และเราจะเติมเชื้อเพลิงแพสชันในการใช้ชีวิตอย่างไรให้เรากลับมามีชีวิตชีวากับกิจวัตรประจำวันของเราอีกครั้ง   อะไร คือ Burnout Syndrome?  ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) คือ อาการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจอันเนื่องมาจากสภาวะตึงเครียดจากการทำงานเรื้อรัง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้มีอาการดังกล่าวรู้สึกหมดพลัง หมดกำลัง มีทัศนติในทางที่ไม่ดีต่องานของตนเอง (Bangkokhospital, ม.ป.ป.) ถึงแม้ว่าภาวะหมดไฟมีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า แต่ภาวะนี้ไม่ใช่โรคซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าผู้ป่วยอาการนี้อาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าบุคคลทั่วไป (Samitivejhospitals, 2561)     ปัจจัยเสียง "หมดไฟ" มีอะไรบ้าง? อินโฟกราฟิกโดยผู้เขียน via Canva จากการศึกษาของผู้เขียนตามบทความของโรงพยาบาลต่าง ๆ ผู้เขียนขอสรุปตามบทความของโรงพยาบาลสมิติเวช โดยบทความนี้ได้ให้ข้อมูลว่ามีอยู่ 3 ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ปัจจัยเกี่ยวกับการทำงาน ปัจจัยเกี่ยวกับความเป็นอยู่ และปัจจัยเกี่ยวกับบุคลิกส่วนตัว ปัจจัยเกี่ยวกับการทำงาน เช่น งานล้นมือ ระยะเวลาในการทำงานมากเกินไป องค์กรไม่มีความชัดเจน ทำงานภายใต้แรงกดดัน งานที่ต้องรับผิดชอบมีปริมาณมากเกินไป และมีบทบาทที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูง และฝืนใจทำงานด้วยความเบื่อหน่าย ปัจจัยเกี่ยวกับความเป็นอยู่ เช่น เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด และการทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน ปัจจัยเกี่ยวกับบุคลิกส่วนตัว เช่น เป็นคนประเภท Perfectionist เป็นคนเก็บตัว และไม่มีแผนการที่ยืดหยุ่น     ฉันจะกลับมามีไฟอีกครั้งได้อย่างไร? รักษาสุขภาพร่างกาย ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay การรักษาสุขภาพร่างกายช่วยบรรเทาอาการหมดไฟได้ เพียงคุณพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่หักโหมจนเกินไป รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที เฉลี่ย 5 ครั้ง/สัปดาห์ นอกจากคุณจะไม่รู้สึกหมดไฟ คุณยังมีสุขภาพร่างกายที่ดีตามมาด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว   ปรับสมดุลระหว่างการพักผ่อนและการทำงาน ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay การทำงานมากเกิดไปเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อการหมดไฟ ดังนั้น คุณควรปรับสมดุลนาฬิกาชีวิตของคุณด้วยการทำงาน และพักผ่อนในระยะเวลาที่เหมาะสม ถ้าหากคุณรู้สึกว่าการทำงานของฉันช่างตึงเครียดเสียเหลือเกิน คุณอาจใช้เวลาวันหยุดที่เหลืออยู่ในการพักผ่อน นอกจากนี้ การจัดลำดับความสำคัญก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้งานของคุณสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่องานของคุณออกมาสมบูรณ์แบบ ความเครียดจากการทำงานคงห่างจากคุณไปไกลเลยทีเดียว   ลดการใช้โซเชียลมีเดียลงบ้าง ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay การใช้โซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ฯลฯ อาจทำให้คุณต้องเสียเวลาในการใช้ชีวิตมากจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการบริหารจัดการความสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน นอกจากนี้ การใช้สื่อสังคมออนไลน์มาก ๆ อาจทำให้คุณเครียดจากการเสพข้อมูลข่าวสารมากจนเกินไปอีกด้วย   หาที่ปรึกษาสักคน ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay ในแต่ละวัน คุณอาจจะต้องเจอเรื่องราวมากมายที่ทำให้คุณเครียดจนอยากระบาย ดังนั้น การหาที่ปรึกษาสักคน เป็นทางเลือกที่ดีในการระบายความเครียดที่อัดอั้นอยู่ในใจ เพราะถึงแม้ว่าคุณจะเจอเรื่องแย่มากแค่ไหนก็ตาม แต่การมีที่ปรึกษาทำให้คุณรู้สึกว่าตนเองไม่ได้สู้กับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเพียงตัวคนเดียว   ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งที่คุณกำลังรับมืออยู่นั้นมากเกินกว่าที่จะรับมือไหว การไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นทางเลือกที่ดีที่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น และกลับมาเป็นคนมีไฟอีกครั้ง (สรุป รวบรวม และจำแนกประเภทจากบทความของโรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลสมิติเวช)       อ้างอิง https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/burnout-syndrome https://www.samitivejhospitals.com/th/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99/ รูปภาพปกทำจาก Canva

5 วิธีแก้ภาวะหมดไฟในการทำงาน สาเหตุ และการรับมือ (Burnout Syndrome)
อ่าน

5 วิธีแก้ภาวะหมดไฟในการทำงาน สาเหตุ และการรับมือ (Burnout Syndrome)

สวัสดีค่าเพื่อนๆชาว True ID ทุกคน เชื่อว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน ความรัก หรือภาระต่างๆในชีวิตมันก็สามารถทำให้เราหมดไฟหรือเรียกอีกอย่างนึงว่าอาการ Burnout Syndrome นั่นเอง ซึ่งหลายคนกำลังตกอยู่ในสภาวะนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ T_T แต่ไม่ต้องกลัวและหมดกำลังใจไปนะ เป็นได้ก็แก้ได้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกันว่าอาการหมดไฟที่ว่านี้ มีวิธีแก้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ~ Burnout Syndrome สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ขาดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน หรือไม่มีความบาลานซ์ชีวิตในหลายๆเรื่อง ทำให้เกิดการเหนื่อยหน่ายท้อแท้ มีความกดดัน ความคาดหวัง ทำให้มีทัศนคติในด้านลบกับตัวเองละคนรอบข้าง จึงนำไปสู่ภาวะภาวะหมดไฟในที่สุด สิ่งที่สามารถนำพาทุกคนกลับมาอยู่สภาวะปกติได้ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะเดี๋ยวเราเช็คเป็นข้อๆกันไปเลย  1. จัดระเบียบการใช้ชีวิต เรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง เพียงแค่คุณทำสิ่งนี้ได้ชีวิตจะดีขึ้นแบบ200%เลย มันทำให้เราได้นั่งทบทวนตัวเองว่า สิ่งไหนที่เราควรจะทำและสิ่งไหนที่เราควรจะปล่อย เราจะเลือกทำสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิตดีกว่าต้องมานั่งเสียเวลาและสุขภาพจิตให้กับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่างๆ  2. หากิจกรรมที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย ฝึกเล่นโยคะ ศิลปะ ตกแต่งบ้าน ทำสมาธิ ถ่ายคลิปทำอาหาร การทำอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองไม่ใช่เรื่องเสียเวลา เพราะที่ผ่านมาเราก็ทำให้คนอื่นมามากแล้วเหมือนกัน นี่ก็ถือว่าเป็นการให้รางวัลคนเก่งกับตัวเองจริงๆ  3. งดเข้าโซเชียลบ้าง บางทีข่าวสารต่างๆในโลกออนไลน์ก็ทำให้เราเครียดได้เหมือนกันนะ บางคนไปรับรู้ชีวิตคนอื่นมากเกินไปจนเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเองจนรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่เก่ง อย่าคิดแบบนั้นนะคะ ทุกคนล้วนมีค่าหมด ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง ตอนนี้ที่มีชีวิตอยู่และผ่านไปแต่ละวันไดนี่ก็เก่งมากแล้ว เราต้องให้กำลังใจตัวเองทุกวัน คิดบวกๆเข้าไว้ และพลังงานด้านบวกก็จะถูกดึงกลับมาหาเราเองค่ะ  4. เปิดใจคุยกับคนใกล้ชิด เป็นวิธีระบายอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อย่างน้อยก็ยังมีคนที่รักเรา คอยให้กำลังใจเรา เช่นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท เราสามารถสื่อสารให้เค้าเข้าใจได้ ที่สำคัญเราต้องปรับทัศนคติของตัวเองด้วย เพราะทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน 5.แบกเป้เที่ยวเลยจ้า ไหนๆก็ไหนๆละ เที่ยวแก้เครียดซะเลย^_^* การไปในสถานที่แปลกใหม่ก็เป็นการเยียวยาตัวเองอย่างดีเลยล่ะ เผลอๆกลับมาเราอาจจะได้ไอเดียดีๆในการไปต่อยอดอะไรได้อีกหลายอย่างอีกด้วย  เป็นอย่างไงบ้างคะกับวิธีจัดการกับเจ้าตัวปัญหาที่ทำให้เราหมดไฟ ส่วนตัวมิลค์เองตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำได้หมดทุกข้อ ตอนนี้ทำได้แค่เริ่มต้นที่รักตัวเองเริ่มมีแรงบันดาลใจและหาเป้าหมายในชีวิตให้เจอ ทำให้มิลค์รู้แล้วว่าต่อจากนี้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันไม่สูญเปล่า คิดได้แค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ ถ้าเพื่อนๆทำได้ซักข้อสองข้อก็ดีมากแล้ว มิลค์เป็นกำลังใจให้สำหรับทุกคนที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่นะคะ ยังไงก็ต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน สำหรับครั้งหน้ามิลค์จะเอาเรื่องอะไรมาฝาก รอติดตามกันด้วยนะ วันนี้ไปแล้วค่ะ บ้ายบาย~ภาพที่1 โดย Engin_Akyurt จาก pixabayภาพที่2 โดย geralt จาก pixabay ภาพที่3 โดย geralt จาก pixabay ภาพที่4 โดย silviarita จาก pixabayภาพที่5 โดย Firmbee จาก pixabayภาพที่6 โดย silviarita จาก pixabayภาพปกโดย silviarita จาก pixabay7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์

Burn Out Syndrome ในนักกีฬา
อ่าน

Burn Out Syndrome ในนักกีฬา

     จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองได้มาสัมผัสกับงานในวงการกีฬา ของสมาคมกีฬาแห่งหนึ่ง ทำให้นึกถึงนักกีฬาท่านหนึ่งซึ่งเลิกเล่นไปเนื่องด้วยเหตุบางประการ ซึ่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อธิบายทางด้านจิตวิทยาการกีฬาของกรมพลศึกษา ซึ่งได้อธิบายเรื่องราวของภาวะนี้ที่เกิดขึ้นในนักกีฬาชัดเจน คำว่า Burn Out คงมองในมุมของการทำงาน แต่ก็มีภาวะนี้ในทางจิตวิทยาทางการกีฬาเช่นกัน หลายคนคงทราบกันดีว่า ภาวะหมดไฟในนักกีฬานั้น ถ้ามีสะสมมาก ๆ ก็อาจจะทำให้ถอดใจได้ง่ายมาก จนในที่สุดก็ล้มเลิกความตั้งใจไปโดยปริยาย Credit pic : https://www.pexels.com/photo/martial-arts-training-3340319/      ในการฝึกซ้อมที่เข้มงวด ต้องแข่งขันกับตัวเองและคนที่จะมาท้าชิงกับเราด้วย และการแข่งขันเพียงเสี้ยวนาทีที่ต้องทำให้รวดเร็ว ทันควันของแต่ละทัวร์นาเมนท์ในแต่ละชนิดกีฬา นักกีฬาหลายคนอาจเผชิญกับภาวะทางจิตใจไม่มากก็น้อย ซึ่งภาวะนี้ก็มีอีกความหมายหนึ่งว่า "หมดไฟ" ซึ่งภาวะนี้ไม่ว่าจะนักกีฬามือใหม่หรือนักกีฬาสมัครเล่นที่อยู่ในแวดวงนี้มานาน รวมทั้งนักกีฬาอาชีพก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะหมดไฟได้เช่นกัน Credit pic : https://www.pexels.com/photo/men-fighting-in-the-ring-2581662/ ประเภทภาวะหมดไฟในนักกีฬา ภาวะหมดไฟในนักกีฬาจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทก็คือ ภาวะหมดไฟแบบชั่วคราว และภาวะหมดไฟแบบถาวร 1. ภาวะหมดไฟแบบชั่วคราว ภาวะหมดไฟแบบชั่วคราว เป็นภาวะที่เสี่ยงต่อการเกิดซึมเศร้ามากที่สุด เพราะจะมีโอกาสที่มองคุณค่าในตัวเองต่ำลงได้ง่าย ซึ่งในประเภทนี้จะเป็นการแสดงภาวะทางจิตใจเนื่องจากความล้า หรือสภาวะอารมณ์ที่มองในทางลบ หากมีใครเข้ามาช่วย หรือเข้ามาพูดคุยในเวลานั้น นักกีฬาจะมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น สามารถกลับไปเล่นได้อีก 2. ภาวะหมดไฟแบบถาวร ภาวะในประเภทนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะนี่คือใกล้ถึง "จุดอิ่มตัว" ของการเป็นนักกีฬา อีกทั้งนักกีฬาจะรู้สึกไม่อยากเล่นเพราะหมดสนุก หรือเล่นไปเพียงเพราะหน้าที่ที่ยังค้ำคออยู่ เช่น เป้าหมาย เงินรางวัล ความคิดเห็นโค้ชที่อยากให้อยู่ต่อ ความกดดันในตัวเองเพิ่มขึ้น รวมทั้งนักกีฬานึกถึงคนข้างหลัง เช่น พ่อแม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอดทน และประสบการณ์แต่ละบุคคล แต่ที่แน่นอนก็คือ ภาวะแบบถาวรจะเล่นเพียงความจำเป็นมากกว่า อาจจะเป็นการนับถอยหลังในตัวว่า...ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเลิกเล่นอยู่ดี Credit pic : https://www.pexels.com/photo/photography-of-person-riding-brown-horse-1125060/ ปัจจัยที่ทำให้เกิด "Burn Out" ในนักกีฬา 1. สถานการณ์ หรือปัจจัยแวดล้อม - ทางด้านจิตใจ เช่น ความเครียด มีเรื่องรบกวนจิตใจ ความรู้สึกไม่ดีในเรื่องต่าง ๆ หรือเรื่องที่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ จนขาดสมาธิ และไม่สามารถโฟกัสสิ่งที่ทำ ณ ตรงนั่นได้ - ทางด้านร่างกาย เช่น มีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง (Chronic Injury) การได้รับการฝึกแบบหนักเกินไป (Overtraining) โปรแกรมซ้อมจำเจ หรืออุปสรรคอื่น ๆ ทางกายที่ทำให้ไม่สามารถเล่นได้เต็มที่เท่าที่ควร - ทางด้านสภาพแวดล้อม เช่น พฤติกรรมที่โค้ชแสดงออก การไม่ได้รับการสนับสนุนทางด้านจิตใจหรือไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีเท่าที่ควร 2. ปัจจัยด้านบุคคล - ปัจจัยทางด้านนิสัย เช่น การหล่อหลอมแบบมุ่งงาน การหล่อหลอมแบบมุ่งตัวเอง และความวิตกกังวล เช่น รู้สึกว่าไม่มีความสามารถเพียงพอ หรือรู้สึกเหมือนไม่มีน้ำยาพอที่จะแข่งได้ รู้สึกไร้ตัวตน - ปัจจัยทางสังคม ยิ่งได้รับอิทธิพลทางสังคมมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะหมดไฟก็มากเท่านั้น เช่น มีปัญหากับเพื่อนในทีมไม่ว่าจะกีฬาบุคคลหรือกีฬาทีม หรือไม่อยากลงเรือลำเดียวกันกับทีมเลย หรือไม่พอใจในทีม Staff Credit pic : https://www.pexels.com/photo/group-of-people-doing-marathon-1571939/ ใครจะมีบทบาทเข้ามา - โค้ช เพราะโค้ชจะใกล้ชิดนักกีฬาที่สุด เป็นได้ทั้งผู้สร้างนักกีฬาและทำลายนักกีฬา (ด้วยความไม่ตั้งใจ) ในขณะเดียวกัน ฉะนั้น โค้ชจะต้องมีส่วนช่วยสร้างแรงจูงใจให้นักกีฬารู้สึกดีขึ้น หรือรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้คุยกับโค้ช - นักจิตวิทยา นอกจากโค้ชแล้ว นักจิตวิทยาจะช่วย Guideline ให้นักกีฬา อาจจะมีการฟื้นฟูสภาพจิตใจ จิตบำบัดวิธีที่เหมาะสมให้นักกีฬา สามารถกลับไปเล่นได้ปกติ และมีนักจิตวิทยาจะต้องเข้ามามีบทบาทมากในกรณีที่หมดไฟแบบชั่วคราว เพราะช่วงนี้จะได้ผลและกลับมาเร็วที่สุด - จิตแพทย์ จะช่วยรักษาสภาพจิตใจให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และต้องเข้าใจว่าจิตแพทย์ไม่ได้พบแค่ตอนเป็นบ้าเท่านั้น Credit pic ภาพปก : https://pixabay.com/photos/tennis-racket-tennis-ball-sport-3552164/

กลับหลังหันก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไม่ไหว นี่เรากำลังตกอยู่ภาวะ BURNOUT SYNDROME หรือเปล่านะ?
อ่าน

กลับหลังหันก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไม่ไหว นี่เรากำลังตกอยู่ภาวะ BURNOUT SYNDROME หรือเปล่านะ?

เชื่อว่าเหล่ามนุษย์ทำงานหลายคนต้องเคยประสบกับปัญหา ร่างกายอ่อนล้า เหนื่อย เบื่อ เครียด จากการทำงานในแต่ละวัน เมื่อเข็มนาฬิกาหมุนเวียนมาเป็นวันจันทร์ทีไร ใจก็รู้สึกหมดแรง หมดพลังไปดื้อๆ "เมื่อไรจะวันศุกร์" คือวลีสุดฮิตที่เหล่ามนุษย์ทำงานต้องมีบ่นออกมาบ้างแหละแต่อาการเหล่านี้ สำหรับบางคนอาจจะเป็นแค่อารมณ์เซงๆ เบื่อๆ ที่ไม่กี่วันก็กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม แต่ถ้าหากว่าอาการเริ่มหนักขึ้นจนทำตัวเองเกิดความคิดว่า "ฉันไม่อยากทำงานเลย" "คิดงานไม่ออก" "ทำไมชีวิตมันน่าเบื่อขนาดนี้" ร่างกายเริ่มอ่อนแรง หมดหวัง หมดกำลังใจ จนกระทบต่อชีวิตประจำวันและการทำงาน ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าคุณอาจตกอยู่ในภาวะ BURNOUT SYNDROME BURNOUT SYNDROME หรือ ภาวะหมดไฟจากการทำงาน เป็นภาวะการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ส่งผลจิตใจ ที่เกิดจากความเครียดจากการทำงานมากเกินไป ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มากจากรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่หักโหมทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ภาระงานหนักมากเกินจำเป็น ทำงานเกินขอบเขต เจองานที่ไม่ถนัดแล้วต้องทำให้เสร็จอย่างเร่งรีบ อาจพบว่าตนเองไม่เหมาะสมกับงานดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น กดดันตัวเองว่าทำได้ไม่ดีเท่าเขา ชีวิตไม่มีความสุข สุดท้ายอาจกลายเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองและหมดกำลังใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ซึ่งหากสะสมความรู้สึกนี้ไว้เรื่อยๆ นานวันเข้าอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าได้วิธีแก้อาการ BURNOUT SYNDROME มีอะไรบ้างมาดูกันพักผ่อนร่างกายและจิตใจ ดูแลตัวเองให้มากขึ้น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้คิดมาก ลดความเครียดลง หากิจกรรมที่ผ่อนคลายทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง วาดรูป ถ่ายรูป ออกไปท่องเที่ยวจัดลำดับความสำคัญให้กับชีวิต ปรับทัศนคติในการทำงานใหม่ เปิดใจคุยกับคนรอบตัว หากคุณยังมีอาการของภาวะ BURNOUT SYNDROME อยู่ การขอคำปรึกษาและคุยกับใครสักคน เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสบายใจและลดความเครียดลงได้ หากว่าคุณยังรู้สึกท้อแท้ ผิดหวัง ไม่สามารถจัดการกับความเศร้าได้และมีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้า ดังนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาโดยเร็ว อย่าปล่อยให้ความรู้สึกนั้นกลืนกินตัวตนของคุณไปภาวะหมดไฟ Burnout Syndrome ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวและสามารถหายได้ หากคุณได้ลุกขึ้นมาจัดการกับความคิดตัวเองใหม่ เลิกกดดันตัวเองและปล่อยให้ตัวเองได้เป็นอิสระทางความคิดมากขึ้น เพียงแค่นี้คุณจะเริ่มดีขึ้นและกลับมาใช้ชีวิตได้สดใส ไร้ความกังวล และอย่าลืมว่า....อะไรที่มันหนักไปก็วางลงบ้าง โฟกัสชีวิตของตัวเอง หาความสมดุลให้กับชีวิต แล้วคุณจะพบกับความสุข  เครดิตภาพประกอบภาพปก โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ)ภาพที่ 1 โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ)ภาพที่ 2 โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ)ภาพที่ 3 โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ)ภาพที่ 4 โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

5 วิธีดูแลตนเอง เมื่อเป็น Burnout Syndrome ภาวะหมดไฟในการทำงาน
อ่าน

5 วิธีดูแลตนเอง เมื่อเป็น Burnout Syndrome ภาวะหมดไฟในการทำงาน

ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout Syndrome คือ ภาวะที่เกิดจากความเครียดสะสมเป็นเวลานานจนทำให้มีความอ่อนล้า อ่อนเพลีย ขาดความสุขในการทำงานรวมไปถึงขาดประสิทธิภาพในการทำงาน บางรายอาจส่งผลไปถึงเรื่องชีวิตประจำวัน รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ขาดแรงจูงใจ รู้สึกเบื่อหน่ายสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งหากใครที่มีอาการในลักษณะนี้ก็ยังถือว่าไม่รุนแรงมาก แต่หากปล่อยไว้นานโดยที่เรายังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ อาการเหล่านี้ก็อาจจะรุนแรงขึ้นและสามารถพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน ภาวะหมดไฟในการทำงานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโรคใหม่จากองค์กรอนามัยโลก (WHO) หากใครที่เป็นโรคนี้ควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนที่โรคนี้จะอันตรายมากขึ้นจนถึงขั้นกระทบชีวิตของผู้ป่วย แต่ก่อนที่จะปล่อยให้อาการนี้ลุกลามและยากต่อการรับมือ วันนี้เราได้รวบรวมวิธีดูแลตนเองเมื่อมีภาวะ Burnout Syndrome แต่ละวิธีควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ 5 วิธีดูแลตนเอง เมื่อเป็น Burnout Syndrome 1. ลดความเครียด ภาวะหมดไฟในการทำงาน เป็นภาวะที่เกิดจากความเครียดสะสมรวมไปถึงการทำกิจกรรมซ้ำ ๆ เดิม ๆ ดังนั้นนอกจากจะต้องพยายามลดความเครียดให้ได้ เราควรปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการเปิดให้โอกาสให้ตัวเองได้เจอกับสิ่งแปลกใหม่ เช่น ลองรับประทานอาหารที่รสชาติแปลกใหม่ ลองเปลี่ยนวิธีการเดินทางไปทำงาน แบบนี้ก็จะช่วยลดความเบื่อหน่ายที่ตนเองต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ค่ะ 2. พักผ่อนให้เพียงพอ หลายคนที่มีความเครียดและนอนไม่หลับ หากเราเป็นแบบนี้นาน ๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ และทำให้เราหมดไฟ เบื่อหน่ายกับสิ่งรอบตัวได้ ดังนั้นเราควรจะต้องหาเวลาพักผ่อน ทั้งการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและการผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด โดยเราอาจจะออกไปเที่ยวพักผ่อน หรือหากิจกรรมที่ชอบ หรือแม้แต่การออกกำลังกายก็สามารถช่วยได้ค่ะ 3. ระบายให้ใครฟัง การระบายความเครียดออกมาด้วยการพูดคุยกับเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัว ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดสะสมได้ ซึ่งหลายครั้งเมื่อเราได้เล่าเรื่องที่กำลังกลุ้มใจให้ใครสักคนฟัง ก็เป็นเหมือนกับการได้ระบายความทุกข์ที่อึดอัดในใจให้ออกไป เมื่อระบายแล้วก็อาจจะช่วยเรียกพลังให้กลับคืนมาและทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ 4. ให้กำลังใจตัวเองเสมอ กำลังใจจากคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราผ่านภาวะนี้ไปได้ แต่นอกเหนือจากนั้นและสำคัญกว่าคือการหมั่นให้กำลังใจตัวเองค่ะ เพราะต่อให้เราจะไม่มีใคร แต่เราก็สามารถที่จะเสริมกำลังใจให้กับตัวเองได้อยู่เสมอโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น 5. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายสามารถช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้ เพราะการออกกำลังสามารถทำให้ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีน ซึ่งสามารถช่วยให้เรารู้สึกตื่นตัว รวมถึงการออกกำลังกายยังช่วยให้เรานอนหลับได้ดีและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับได้อีกด้วยค่ะ บทความที่คุณอาจสนใจ 4 วิธี เติมพลังบวกให้ชีวิต สุขภาพจิตดี ลดความเครียด 10 วิธีมีความสุข ที่จะช่วยให้ผ่านวันเลวร้ายได้แบบสวยๆ

OFFICE SYNDROME คืออะไร?
อ่าน

OFFICE SYNDROME คืออะไร?

     ส่วนใหญ่คนทำงาน office ในลักษณะงานที่ต้องนั่งทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ มักจะมีอาการปวดตึงคอบ่าเป็นประจำ โดยอาการปวดตึงคอบ่ามักจะมีอาการเป็นๆหายๆ หรือมีอาการปวดสลับข้างกัน เช่น วันนี้มีอาการปวดตึงคอบ่าข้างขวาผิดปกติ แต่ในวันรุ่งขึ้นกลับมีอาการปวดตึงคอบ่าข้างซ้ายแทนอาการปวดข้างขวา ซึ่งสาเหตุการปวดส่วนใหญ่มาจากการที่กล้ามเนื้อทำงานมากเกินไปในท่าใดท่าหนึ่งติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หรือที่เรียกว่า "overuse" นั่นเอง ทำให้โรค office syndrome พบได้ง่ายและพบได้ทั่วไปในกลุ่มพนักงานที่นั่งทำงาน office จนถือว่าเป็นโรคยอดฮิตสำหรับพนักงาน office กันเลยทีเดียว (ภาพประกอบโดย : https://www.lifeofpix.com/photo/275-ake99582-ae-jpg/)        "สาเหตุหลัก" ที่ทำให้พนักงาน office ส่วนใหญ่เป็นโรค office syndrome กันเยอะมาจากการนั่งทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ร่วมกับท่าทางหรือลักษณะในการนั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง เช่น      1.นั่งไหล่ห่อหลังค่อม      2.ลักษณะโต๊ะหรือเก้าอี้ที่นั่งทำงานสูงหรือต่ำเกินไป      3.คอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊คอยู่ห่างจากระดับสายตามากเกินไป      4.นั่งทำงานท่าเดิมติดต่อกันเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีช่วงพัก (ภาพประกอบโดย : https://www.lifeofpix.com/photo/woman-checking-email-meeting/)        อาการโดยทั่วไปของ "office syndrome" คือ      1.ปวดตึงคอบ่า      2.ปวดคอบ่าร้าวลงแขน      3.ปวดคอบ่าร้าวไปกระบอกตา      4.ปวดคอบ่าร้าวไปกกหู      **อาจจะมีอาการทั้ง 2 ข้าง หรือข้างใดข้างหนึ่งสลับกัน โดยมักจะมีอาการเป็นๆหายๆ        แนวทางการดูแลตนเองสำหรับหนุ่มสาวชาว office (ภาพประกอบโดย : https://www.lifeofpix.com/photo/team-business-people-stacking-hands/)        1.นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง โดยพยายามนั่งหลังตรงมองตรงไปข้างหน้า      2.ปรับโต๊ะและเก้าอี้ให้อยู่ในความสูงที่เหมาะสมกับตนเองให้มากที่สุด โดยลักษณะความสูงต่ำของโต๊ะที่ถูกต้องคือ ขณะที่นั่งทำงานบนโต๊ะไหล่ทั้งสองข้างต้องวางอยู่ในระดับปกติค คือไม่นั่งยักไหล่ในกรณีที่โต๊ะสูงเกินไป หรือไม่นั่งก้มหลังไหล่ห่อในกรณีที่โต๊ะต่ำเกินไป ข้อศอกงอประมาณ 90 องศา ส่วนลักษณะความสูงต่ำของเก้าอี้ที่ถูกต้องคือ ขณะที่นั่งบนเก้าอี้เท้าควรจะวางแนบกับพื้นพอดีโดยที่เข่าและสะโพกงอประมาณ 90 องศา (ความสูงต่ำของโต๊ะและเก้าอี้ต้องสัมพันธ์กัน)      3.จัดให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊คอยู่ห่างจากระดับสายตาพอดี ไม่ให้ก้มหรือเงยมากเกินไป      4.ควรมีช่วงพักระหว่างนั่งทำงาน เช่น ลุกขึ้นไปห้องน้ำ หรือลุกขึ้นไปกินน้ำ หลังจากทำงานติดต่อกันมากกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน      การดูแลตนเองเบื้องต้นที่ได้กล่าวไว้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดอาการปวดเนื้อปวดตัวหลังจากทำงานมาทั้งวันให้กับหนุ่มสาวชาว office และช่วยให้ทำงานได้โดยไม่มีอาการปวดให้รำคาญใจ หวังว่าบทความสั้นๆบทนี้จะมีประโยชน์กับชาว office ทุกคนค่ะ (ภาพหน้าปกโดย : https://www.lifeofpix.com/photo/270-niwat6121-jj-jpg/)                    

วิธีเอาชนะการ ฺBurnout
อ่าน

วิธีเอาชนะการ ฺBurnout

ความเบื่อหน่ายในการทำงานเกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน มีปัญหามากมายที่ต้องแก้อยู่เสมอ สิ่งที่น่ากลัวคือความเหนื่อยหน่ายนั้นจะไม่ส่งผลแค่เรื่องงาน ถ้าปล่อยไว้ก็อาจส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวด้วย พอนานวันความเนื่อยหน่ายนั้นก็จะส่งผลให้คุณกลายเป็นคนเฉยเมยและไม่ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างอีกต่อไป อย่างที่เรียกกันว่า หมดไฟ หรือ Burnout  แต่เราจะยอมแพ้มันไม่ได้ ต้องชนะเท่านั้นเราถึงจะใช้ชีวิตต่อไปได้ Photo by Gregory Hayes on Unsplash วิธีเอาชนะ  ฺBurnout ปรับเปลี่ยนความคิด ค้นหาความหมายในงานที่คุณทำ หากคุณกำลังประสบกับความเบื่อหน่ายอาจเป็นเพราะว่าคุณไม่เห็นความสำคัญกับงานที่คุณทำอีกต่อไป ถึงแม้ว่าตอนเริ่มต้นทำงานใหม่ ๆ คุณจะมีความหลงใหลและมีไฟในการทำงานนนี้ขนาดไหนก็ตาม หากเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าเบื่อหน่ายกับงานที่ทำแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่อีกครั้ง มองให้เห็นความสำคัญของงานที่กำลังทำอยู่ งานทุกงานมีความหมายแม้จะเป็นงานเล็กน้อยก็ตาม คิดถึงเป้าหมายที่วางไว้แล้วยึดมั่นไว้ให้แน่น หรือแสวงหาโอกาสในงานที่คุณทำ จะทำให้มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น Photo by Thought Catalog on Unsplash หาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน หากชีวิตคุณทำแต่งาน งาน งาน ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกหมดไฟและหมดใจในการทำงานเข้าสักวัน เพราะไม่มีใครสามารถทำงานได้ทั้งวันและทุกวันได้โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้า ลองหางานอดิเรกหรือสิ่งที่คุณสนใจทำ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ทำมิชชั่นดูหนัง ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร เล่นกีฬา จนถึงการรเียนคอร์สเสริมความรู้ความสามารถอย่างจริงจัง หากลุ่มคุยกับคนที่มีความชอบเหมือน ๆ กัน ทำอะไรก็ได้ ที่ไม่ปล่อยให้เวลาว่างแล้วคุณจะต้องคิดถึงแต่งาน งาน และงาน จะทำให้ชีวิตคุณมีความหมายมากขึ้น มีสังคมที่มากกว่าในที่ทำงาน ถึงแม้งานจะเหนื่อยก็ยังมีสิ่งที่มีทำให้คุณรู้สึกมีความสุขในชีวิต มีแรงขับเคลื่อนในชีวิตต่อไปPhoto by Christina @ wocintechchat.com on Unsplashเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า "ไม่"  งานของคุณคนเดียวอาจจะเครียดพอตัวแล้ว แล้วถ้าหากต้องรับภาระงานของคนอื่นด้วยก็จะทำให้คุณต้องทำงานหนักขึ้น ความมุ่งมั่นและความกระตือรือร้นในการทำงานเป้นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามากเกินจนต้องเผื่อแผ่ไปถึงการทำงานให้คนอื่นด้วย ก็อาจจะไม่ดีเท่าไหร่นัก อย่ารุ้สึกผิดที่จะพูดคำว่า "ไม่" บางครั้งเพียงเพราะคุณทำอะไรบางอย่างได้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำ อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณสามารถทำงานต่อไปได้คือสุขภาพร่างกายและจิตใตของคุณ ถ้าเกิดคุณเจ็บ่วยขึ้นมาก็ไม่มีใครรับผิดชอบมันได้นอกจากตัวคุณเอง     Photo by Zan on Unsplashผ่อนคลายให้มากขึ้น เวลาพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะการทำงาน ถ้าคุณพักผ่อนไม่เพียงพอ คุณก็ไม่มีแรงในการทำงานให้ดีได้เช่นกัน หากคุณกำลังประสบกับความเหนื่อยล้าและเบื่อชีวิตอย่างรุนแรงให้รู้ไว้ว่าคุณกำลังทำงานหนักเกินไปจนไม่มีเวลาให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อน หากใครต้องการพักยาวหน่อยก็ถือโอกาสลาหยุดไปเลย ออกไปเที่ยวบ้างก็ได้หรือไม่ต้องไปไหนก็ได้ แค่นอนเล่น ดูหนัง ฟังเพลงที่บ้านก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายแล้ว แต่ถ้าหากรู้สึกเบื่อเหลือเกินขณะกำลังทำงานก็อาจขอออกไปสูดอากาศนอกออฟฟิศสักครู่ Photo by Anthony Tran on Unsplashปรึกษาคนที่คุณไว้ใจหรือแพทย์ การระบายความรู้สึกให้ใครสักคนฟังจะช่วยปลดปล่อยความรู้สึกแย่ที่คั่งค้างอยู่ในใจคุณได้ หาใครก็ได้ที่คุณไว้ใจว่าถ้าเล่าเรื่องแย่ต่าง ๆ ไปแล้ว เขาจะไม่เล่าต่อถ้าคุณไม่อยากให้เล่าหรือไม่ซ้ำเติมคุณจนเครียดกว่าเดิม แต่ถ้าหากมองไม่เห็นใครเลยการปรึกษาแพทย์ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี การคุยกับมครสักคนนอกจากจะทำให้คุณเครียดน้อยลงแล้วยังอาจได้คำแนะนำดี ๆ ที่คุณคาดไม่ถึงก็เป็นได้  Photo by LinkedIn Sales Navigator on Unsplash  หากใครเริ่มเบื่องาน เบื่อชีวิต หมดกำลังใจจะทำอะไรแล้ว อย่าปล่อยไว้นาน ต้องรีบแก้ไข ไม่อย่างนั้นอาจทำให้คุณหมดไฟจนกู่ไม่กลับ กว่าจะฟื้นได้ต้องใช้เวลานาน อาจเสียเวลาทำในสิ่งดี ๆ ในชีวิตอย่างอื่นไปอีกมากมาย  Cover Photo by Wesley Eland on Unsplash

ภาวะหมดไฟ หรือ BURNOUT
อ่าน

ภาวะหมดไฟ หรือ BURNOUT

ภาวะหมดไฟ คืออะไร เกิดจากความเครียดสะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว สะสมมากๆจนไม่มีแรง อารมณ์ อยากทำอะไรเลยเรียกง่ายๆว่าไม่มีแรงบันดาลใจซึ่งมันเกิดได้กับทุกคน ผู้ที่มีภาวะนี้ให้เข้าพบแพทย์หรือเชี่ยวชาญ แต่ว่าภาวะนี้มี 5 ระยะ ส่วนนี้นักเขียนจะขอไม่เขียนลงนะ แต่ว่าสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ภาวะหมดไฟ จาก medparkhospital  วันนี้เราจะมาบอกวิธีรับมือ Burnout1.ออกกำลังกายการออกกำลังกาย กิจกรรมที่จะช่วยให้เราผ่อนคลาดและได้สุขภาพที่แข็งแรง การออกกำลังจะช่วยให้เราสงบและกำจัดความเครียดได้ด้วย นักเขียนอยากให้ทุกคนอยากเปลี่ยนความคิดหรือmindset ให้การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวันเหมือนการแปรงฟันให้การออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวัน มีเวลาก็ออกเยอะหน่อย เวลาน้อยก็ยืดเส้นก่อนนอน 10 นาทีแบบนี้ก็ได้ แค่ให้การออกกำลังกายได้อยู่กับคุณทุกวัน2.ดูหนัง / ฟังเพลงดูหนัง ฟังเพลง เค้าช่วยให้เรามีสมาธิทำให้เราไม่วอกแวก และผ่อนคลาดอารมณ์ ให้เลือกเพลง หนัง ให้ที่ช่วยฮีลใจตัวเองแต่ถ้าใครอกหักมาและอยากจะร้องไห้ให้สุดจะเปิดเพลงอกหักก็ได้นะ การดูหนัง ฟังเพลง จะช่วยเปิดจินตราการและเสริมอารมณ์ที่ดีอีกด้วยเพลงที่อยากจะแนะนำมีอะไรบ้าง1.NCT 127 - Road Trip2. NCT DREAM - BEAUTIFUL TIME3.Taeyeon (feat. Verbal Jint)' –  Iหนัง ซีรีส์ ที่ฮีลใจ1.Blind Side2.เททั้งใจให้เลขาคิม What's Wrong with Secretary Kim3.it okay to not be okay3.ออกไปพบปะผู้คนการออกไปเที่ยวหรือออกไปเจอเพื่อน ครอบครัวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยให้เราได้แลกเปลี่ยนความคิด ได้พูดคุยกัน ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า โลกไม่ได้หมุนล้อมตัวคุณอยู่แต่เป็นคุณที่หมุนรอบโลก ปัญหาไม่ได้มีแค่คุณคนเดียว แต่ปัญหามันมีกับทุกคนเราจะปรับตัวหรือแก้ไขปัญหายังไงต่างหาก 4.หากิจกรรมใหม่ๆ ฝึกทักษะใหม่ๆหากิจกรรมใหม่ อ่านหนังสือ เล่นเกม ทำอาหาร เพิ่มทักษะใหม่ๆ จะช่วยให้เราโฟกัสมากขี้น ช่วยให้เราลดความความเครียด หรือทำธุรกิจเล็กเป็นรับทำข้าวกล่องให้คนในที่ทำงานได้ทั้งทักษะ รายได้และอาจจะได้เพื่อนใหม่เลยก็ได้ขอบคุณรูปจาก Andrea Piacquadio pexelsขอบคุณรูปจาก cottonbro studio pexels​ขอบคุณรูปจาก  Jimmy Liao pexels​ขอบคุณรูปจาก Andrea Piacquadio pexelsรูปหน้าปกมาจาก Nataliya Vaitkevich จาก canva จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

สำรวจอาการ Post COVID-19 Syndrome หายป่วยโควิด ชีวิตเปลี่ยน
อ่าน

สำรวจอาการ Post COVID-19 Syndrome หายป่วยโควิด ชีวิตเปลี่ยน

หายป่วยจากโรคโควิด ใครจะคิดว่ามันไม่ได้หายไปหมดเหมือนเวลาหายเป็นหวัด ซึ่งอาการป่วยโควิดที่หลงเหลืออยู่เป็นเวลานาน ยาวนานมากกว่า 1 เดือนหรือมากกว่า 4-6 สัปดาห์เสียอีก สิ่งที่เกิดขึ้นเราเรียกมันว่า Post COVID-19 Syndrome หรือที่เราคุ้นเคยกับคำว่า Long COVID คือ อาการหลงเหลือหลังติดเชื้อโควิด-19 ภาวะ Long COVID หรือ อาการหลงเหลือหลังติดเชื้อโควิด-19 ในระยะยาว เป็นอาการเจ็บป่วยที่ไม่มีลักษณะตายตัว อาจเหมือนหรือต่างกันได้แล้วแต่คน ซึ่งผลกระทบของ Long COVID สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ตั้งแต่ระบบหายใจ, ระบบประสาท,ระบบทางเดินอาหาร,หัวใจและหลอดเลือด ทำให้ผู้ที่หายป่วยบางรายยังไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างเดิม ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ 30-50% จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่รักษาหายแล้ว แต่ Post COVID-19 Syndrome นพ.วินัย โบเวจา หัวหน้าศูนย์สุขภาพปอด อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบทางเดินหายใจ และภาวะวิกฤตทางเดินหายใจ โรงพยาบาลพญาไท 3 กล่าวว่า อาจเกิดจากผลข้างเคียงของการรักษาที่ไม่ได้เกิดจากโควิด-19 เนื่องจากเชื้อโควิด-19 ให้ปอดอักเสบ และทำให้การนำออกซิเจนเข้าสู่เลือดไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้การทำงานของระบบต่างๆ ล้มเหลวลง เมื่อร่างกายต้องต้านเชื้อโควิดที่ลงปอด จึงต้องรับประทานยามากขึ้นเพื่อลดการอักเสบของปอด ทำให้ผู้ป่วยโควิดต้องรับประทานยาเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด หากมีโรคเบาหวาน และในคนที่มีอาการหอบเหนื่อยมาก เคลื่อนไหวลำบาก ก็อาจเกิดภาวะปอดแฟ่บ เนื่องจากการกดทับบริเวณเดิมติดต่อกันนานๆ ทำให้ออกซิเจนหมุนเวียนในปอดได้น้อยลง และอาจมีภาวะกล้ามเนื้อลีบ หรือเกิดแผลกดทับได้ ซึ่งเมื่อรักษาหายก็ต้องอาศัยระยะเวลาให้ปอดและระบบภูมิคุ้มกันได้ฟื้นตัว อาการที่พบในผู้ป่วย Post COVID-19 Syndrome หรือ Long COVID อาการที่พบบ่อย รู้สึกเหนื่อยล้ามาก อ่อนเพลีย, หายใจถี่, แน่นเจ็บหน้าอก และปวดข้อเข่า หรือในบางรายอาจมีอาการ อย่าง ปวดตามกล้ามเนื้อ, ปวดหัว, มีไข้เป็นๆ หายๆ, ใจสั่น และอาจมีภาวะซึมเศร้าได้ หากอาการหลังหายป่วยยังยาวนานต่อเนื่อง อาจส่งผลข้างเคียงต่ออวัยวะร่างกายส่วนอื่นๆ ได้ เช่น ปอดทำงานผิดปกติ, ผมร่วง, ผื่นขึ้น, มีปัญหาเกี่ยวกับการได้กลิ่นและการรับรสชาติ, นอนไม่หลับ, มีปัญหาด้านความจำ ขาดสมาธิ และอารมณ์แปรปรวน ไม่เพียงแค่นั้น หากเริ่มสังเกตว่าตนเองมีอาการผิดปกติรุนแรง เช่น อาการหายใจไม่ออกแย่ลงกว่าเดิม, เริ่มมีภาวะสับสน มีปัญหาการรับรู้ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติทางกายส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง หรือมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการได้ยิน การมองเห็น หรือการพูด นี่เป็นสัญญาณว่าควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว กลุ่มเสี่ยงผู้ป่วย Post COVID-19 Syndrome หรือ Long COVID 1.ผู้สูงอายุ 2.ผู้ทีมีภาวะอ้วน 3.ผู้ที่มีโรคประจำตัว 4.ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ 5.ผู้มีในขณะติดเชื้อโควิด-19 มีอาการรุนแรง จะมีความเสี่ยง ได้มากกว่ากลุ่มที่ติดเชื้อและไม่มีอาการ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล โดยเลือกกินอาหารดีต่อสุขภาพ นอนหลับให้เพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์ งดสูบบุหรี่ จำกัดปริมาณคาเฟอีน สำหรับคนที่หายป่วยจากโควิด-19 ยังไม่แนะนำให้ออกกำลังกายมากเกินไปและออกกำลังกายจนเหนื่อยเกินไป ควรปรับให้เป็นการออกกำลังแบบเบา ๆ เพื่อให้ปอดไม่ทำงานหนักจนเกินไปและร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัวและปรับตัวกลับสู่สภาวะที่แข็งแรง และหากสังเกตเห็นว่ามีอาการผิดปกติรุนแรง ควรมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาให้ตรงกับสาเหตุของอาการที่เป็นอยู่ เพราะอาการลองโควิด (Long COVID) หรือ Post COVID-19 Syndrome ไม่ใช่แค่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่อาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงชีวิตได้ นอกจากนั้นยังมีการวิจัยจากมหาวิทยาลัย Kings College London ที่ชี้ว่า วัคซีนโควิด-19 ยังช่วยป้องกันการเกิดภาวะอาการหลงเหลือหลังติดเชื้อโควิดในระยะยาว หรือ Long COVID นอกเหนือจากการป้องกันการติดเชื้อและเจ็บป่วยรุนแรงจากโควิด-19 เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่สุดในการดูแลตัวเองในช่วงโควิด-19 ระบาดเลยทีเดียว ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลพญาไท , โรงพยาบาลวิชัยเวชฯ หนองแขม , healthaddict , voathai -------------------- เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณคลิกเลย!! รู้ทันกันโควิด หรือกด*301*35# โทรออก ข่าวที่เกี่ยวข้อง แนวทางการพักฟื้นหลังจากหายป่วยโควิด-19

สำรวจตัวเองก่อน Burnout จากการทำงาน WFH
อ่าน

สำรวจตัวเองก่อน Burnout จากการทำงาน WFH

ภาพปกจาก HaticeEROL https://pixabay.comเนื่องด้วยสถานการณ์ปัจุบันในยุคโควิดที่มีการระบาดค่อนข้างรุนแรงในประเทศตอนนี้ ทำให้เราทุกคนต้องกลับมาเริ่มต้นการทำงานแบบ WFH ใหม่อีกครั้ง และยังไม่ทราบวันที่แน่ชัดว่าสถานการณ์นี้จะดีขึ้นเมื่อไหร่ ทำให้ใครหลายๆคนอาจต้องเผชิญปัญหาทางด้านจิตใจในการทำงานที่เรียกว่า สภาวะเบิร์นเอาท์ ( Burnout ) หรือ หมดไฟ นั่นเอง เนื่องจากการทำงานที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องและไม่ได้ออกไปเจอผู้คน รวมไปถึงความกดดันในการทำงานที่อาจทำให้เรารู้สึกว่าทำไมมีแค่ตัวเราที่เผชิญปัญหานี้อยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี้ หลายคนอาจมีอาการเบื่อหน่ายเกิดขึ้นระหว่างวัน ความกระตือรือร้นที่เคยมีก็ค่อย ๆ หายไปทีละเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะเริ่มก่อตัวและสะสมไปเรื่อย ๆ จนทำให้เราหมดไฟและแพชชั่นในการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้ บทความนี้จึงอยากพาทุกคนไปเรียนรู้ทำความเข้าใจให้รู้ทันตัวเองก่อนที่มันจะกลายเป็นปัญหาที่เราไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวเราเองได้ และอาจต้องมีการเข้าพบจิตแพทย์เพื่อดำเนินการรักษาในกระบวนการต่อไปรูปภาพจาก geralt https://pixabay.comหนึ่งในสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนเกิดสภาวะเบิร์นเอาท์ระหว่างการทำงานแบบ WFH คือ การที่เราเปิดโหมดทำงานตลอดเวลา ไม่มีเส้นแบ่งเวลาการทำงานและเวลาส่วนตัวที่ชัดเจน เหตุนี้จะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยทั้งวัน หมดแรงทุกครั้งที่เลิกงาน หรือบางทีเลิกงานแล้วแต่ยังต้องเคลียร์งานให้เสร็จ ซึ่งช่วงระยะเวลาในการเคลียร์งานนั้นอาจเป็นการทำงานที่กินเวลาส่วนตัวเราไปค่อนข้างมาก นานวันไปเรื่อย ๆ เหตุการณ์วนลูปซ้ำ ๆ ก็อาจทำให้เราตกอยู่ในสภาวะเบิร์นเอาท์ได้โดยไม่รู้ตัว ผู้เขียนจึงอยากให้ทุกคนได้ลองสังเกตตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานของตัวเองโดยการแบ่งเวลาส่วนตัวและเวลาการทำงานให้ชัดเจนเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องค่อยพะวงเรื่องการทำงานตลอดเวลารูปภาพจาก nastya_gepp https://pixabay.comสัญญาณที่จะทำให้เรารู้ตัวว่าเรากำลังตกอยู่ในสภาวะหมดไฟเช่นนี้ได้ คือ การที่เราเริ่มมีความรู้สึกเบื่อหน่าย เพิกเฉย และไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามา เช่น การไม่ต้องการรับรู้เรื่องราว หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่อยากพูดคุยและรู้สึกอยากอยู่คนเดียวมากขึ้น สำหรับใครที่อยู่กันเป็นครอบครัว การตกอยู่ในสภาวะเบิร์นเอาท์มีโอกาสที่จะทำให้ปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัวเหินห่างกันมากขึ้นเช่นกันรูปภาพจาก mohamed_hassan https://pixabay.comการเริ่มดูแลรักษาจิตใจตัวเราเองนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้ตัวเรารู้สึกมีคุณค่าและไม่หมดแพชชั่นในตัวเอง มีความแอคทีฟที่จะใช้ชีวิตต่อไปในแต่ละวันที่มากขึ้น สิ่งที่สำคัญมากๆในการดูแลตัวเองช่วง WFH คือ การวางแผนช่วงเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวที่ชัดเจน สิ่งๆนี้จะช่วยให้เราได้มีโอกาสในการใช้ชีวิตส่วนตัวในช่วงเวลาอื่นๆนอกเหนือจากการทำงานมากขึ้น และอีกหนึ่งคำแนะนำที่บทความนี้อยากให้ทุกคนได้ทำกัน คือ การเปิดใจพูดคุยกับใครสักคนที่เราไว้ใจได้เล่าถึงปัญหาหรือระบายสิ่งต่าง ๆ ที่เราเผชิญอยู่ การได้พูดคุยจะทำให้เรารู้สึกโล่งใจและสบายตัวมากขึ้น อาจจะเริ่มต้นด้วยการพูดคุยในเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ ในแต่ละวันของการใช้ชีวิตหรือกิจกรรมที่เรากำลังทำอยู่ที่รู้สึกมีความสุขและอยากแบ่งปันเรื่องราวให้กันและกัน การพูดคุยจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราผ่อนคลายและสบายใจมากขึ้น และยังช่วยลดภาวะเครียดสะสมจากการทำงานได้อีกด้วย จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนนั้น เราเองก็เคยตกอยู่ภาวะหมดไฟเช่นกันในช่วงที่ผ่านมา ณ ตอนนั้นเรามีความรู้สึกว่าการทำงานในแต่ละวันของเรามันไม่สนุกและไม่ท้าทายเหมือนแต่ก่อนที่เริ่มทำงานแรก ๆ เรามีความรู้สึกว่าเราทำงานแค่ให้ผ่าน ๆ ไปแต่ละวัน ไม่มีความกระตือรือร้น หรือ หาไอเดียใหม่ๆมาต่อยอดงานที่เคยทำ นอกเหนือจากนั้นเราเริ่มต้องการอยู่คนเดียวเงียบ ๆ มากขึ้นและเก็บตัวอยู่ในห้องมากขึ้นกว่าเดิม จากแต่ก่อนที่มักจะหางานอดิเรกทำช่วง เสาร์ อาทิตย์ กลับกลายเป็นว่าเรารู้สึกเหนื่อยเกินไปที่จะทำงานอดิเรกที่เราเคยทำ จนกระทั่งเพื่อนสนิทเราได้โทรมาปรึกษาและเราก็เลยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนและอัปเดตชีวิตของกันและกันมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและโล่งใจมากแบบหาสาเหตุไม่ได้ เราจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่เราพูดเยอะมาก ๆ เหมือนกับว่าเราได้ระบายสิ่งที่เรารู้สึกไม่สบายใจออกมา เราเริ่มรู้ตัวว่าเรานั้นอาจจะเครียดเกินไปและมีอาการหมดไฟ หมดแพชชั่นในการทำงานร่วมด้วย เราจึงพยายามค่อยๆปรับตัวและตารางการทำงานให้บาลานซ์กันมากขึ้น รูปภาพจาก cromaconceptovisual https://pixabay.comการที่เราค่อย ๆ ปรับตัวและรู้ทันอารมณ์ของตัวเองจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่สมดุลมากขึ้นและยังมีแพชชั่นในการใช้ชีวิตเพื่อเติมเต็มความสุขในทุก ๆ วัน สุดท้ายนี้ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ใครหลาย ๆ คนที่กำลังเผชิญภาวะหมดไฟจากการทำงาน หรือ เบิร์นเอาท์ ได้มีโอกาสในการสื่อสารกับตัวเองและทำความเข้าใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น มีความสุขในการบาลานซ์ชีวิตส่วนตัวและการทำงานที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมสู้ต่อในทุก ๆ วัน และ ( หวังว่าเร็ว ๆ นี้ ) เราจะได้ออกไปใช้ชีวิตแบบไร้ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยอย่างแฮปปี้กันถ้วนหน้า ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก https://www.bbc.com/worklifeเนื้อหาทั้งหมดถูกรวบรวมและเขียนโดย ผู้เขียน ( Chacha )อัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน  App TrueID โหลดเลย ฟรี !

5 สัญญาณอันตราย.... ว่าคุณกำลัง Burnout จากการทำงาน
อ่าน

5 สัญญาณอันตราย.... ว่าคุณกำลัง Burnout จากการทำงาน

5 สัญญาณอันตราย.... ว่าคุณกำลัง Burnout จากการทำงาน   Burnout เป็นคำอธิบายถึงภาวการณ์ทำงานอย่างหนักจนถึงจุดที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ แน่นอนว่าหากไม่รีบเช็คตัวเองว่ามีภาวะ Burnout จากการทำงาน อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานอย่างแน่นอน วันนี้จึงขอแชร์ 5 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณมีอาการ burnout จากการทำงานและถึงเวลาพักซะที   คุณไม่อยากไปทำงานเลย และเฝ้ารอแต่เวลาเลิกงานเพื่อที่จะได้ตรงดิ่งกลับบ้าน  เชื่อว่าข้อนี้ใครๆก็เคยเป็นกัน เรามักจะมีช่วงเวลาที่น่าเบื่อในการทำงานบ้าง หากเรารู้วิธีในการจัดการอารมณ์แต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าปล่อยผ่าน จิตใจไม่จดจ่ออยู่กับงานและประสิทธิภาพในการทำงานลดลง แน่นอนว่าเมื่อข้อที่ 1 คือคุณไม่อยากไปทำงานแล้ว สภาพจิตใจของคุณก็มักจะไม่จดจ่ออยู่กับงานที่ทำ  คุณไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและลูกค้าอีกต่อไป  อาจรวมไปถึงการหมดความอดทนต่อทั้งตัวงาน เพื่อนร่วมงานเมื่อทำผิดพลาด และลูกค้าด้วย คุณมักจะปวดหัว เครียดจนปวดท้องรวมไปถึงอาเจียน และนอนไม่ค่อยหลับตอนกลางคืน คุณเริ่มไม่อยากออกไปข้างนอก เลิกงานแล้วอยากกลับบ้านทันที   หากคุณเริ่มมีอาการตั้งแต่ข้อที 1 จนมาถึงข้อที่ 5 คุณไม่ควรคิดว่า “ไม่เป็นไร” เดี๋ยวก็หายและยังคงไปทำงานต่อไป เพราะนอกจากจะทำให้คุณทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของคุณอีกด้วย ควรรีบหาวิธีแก้ไขด่วน วิธีแก้อาการ Burnout จากการทำงาน กินผักและน้ำให้เยอะขึ้น เป็นวิธีแนะนำที่ธรรมดาและมีการบอกเป็นล้านๆครั้ง แต่ขอยืนยันว่ามันช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นกับตัวเองจริงๆ ถ้าคุณไม่มีกะจิตกะใจจะโฟกัสกับงาน งั้นทำไมคุณไม่โฟกัสกับการห่วงใยสุขภาพคุณเองก่อนละ ออกกำลังกาย สั้นๆเลยคือร่างกายจะหลั่งสารเอนโดรฟินตอนคุณออกกำลังกาย และมันช่วยผ่อนคลายความเครียดและลืมเรื่องงานไปได้ชั่วคราว นอนให้เยอะขึ้น ถึงแม้คุณจะนอนไม่ค่อยหลับ คุณอาจจะต้องหาตัวช่วย เช่นอาหารเสริม เพื่อช่วยให้คุณได้นอนหลับลึกขึ้น การนอนคือทุกสิ่ง เยียวยาทุกอย่าง หาเวลาไปเที่ยว ให้บ่อยขึ้น แม้จะทริปสั้นๆก็ตาม และไม่ควรเอาโน้ตบุ๊กไปทำงาน คุณไม่พร้อมทำงานหรอก อย่าเพิ่งรับงานเพิ่มถ้าร่างกายและจิตใจยังไม่พร้อม ถ้ามีเพื่อนร่วมงานมาเสนองานให้คุณทำ อย่าเพิ่งรับงาน ถ้าคุณรู้ตัวว่าต้องการพัก ไม่ใช่ตอบรับเพียงเพราะว่าคุณเกรงใจ หวังว่าเพื่อนๆจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้นะคะ แล้วพบกันใหม่คะ   Photo by JESHOOTS.COM on Unsplash Photo by Gregory Pappas on Unsplash Photo by Tom Pumford on Unsplash Photo by Cris Trung on Unsplash

มาทำความรู้จักกับ "Impostor Syndrome" กันเถอะ
อ่าน

มาทำความรู้จักกับ "Impostor Syndrome" กันเถอะ

มาทำความรู้จักกับ "Impostor Syndrome" กันเถอะ"Impostor Syndrome" เป็นโรคชนิดหนึ่งที่ทุก ๆ คนต้องเคยเป็นนั้นก็คือ โรคที่คิดว่าตัวเองนั้นเก่งไม่พอหรืออาจจะเก่งแล้วในระดับหนึ่งแต่ยังมีความคิดที่ว่าตัวเองนั้นเก่งไม่พอจนเสียความมั่นใจ จากที่นักเขียนได้ลองไปหาข้อมูลมาแม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จแล้วยังมีอาการของ "Impostor Syndrome" อยู่เลย โรคนี้เกิดจากการเปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเรียน การงาน ฝีมือ ทักษะ มันจะเกิดขึ้นกับสถานการณ์ที่มีเรื่องของการแข่งขันมาเป็นตัววัด และสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองนั้นเก่งไม่พอนั้นก็คือ1.เราพยายามทำมันอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผลลัพธ์ที่มันออกมากลับไม่ตรงดั่งใจหวังเมื่อเทียบกับคนข้าง ๆ2.ประเมินความสามารถของตัวเองต่ำเมื่อได้เห็นผลงานของคนอื่น3.รู้สึกว่าสิ่งที่เราพยายามมันยังดีไม่พอหรือว่าสิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่อาจจะไม่ใช่ทางของเรา4.ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในใจว่า ทำไมคนนั้นทำเรียนรู้แค่เวลาสั้น ๆ กลับทำได้ดีกว่าเราที่เรียนรู้มานาน5.เกิดจากการโดนติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเรียน การงานหรืออื่น ๆ ที่มาจากความผิดพลาด6.ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่ประสบความสำเร็จแล้วทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกที่ทำให้เรานั้น ตัดท้อ พอเราเริ่มมีความคิดแบบนี้แล้วมันจะทำให้เราเริ่มไม่อยากพัฒนาตัวเองเพราะเราคิดว่าเราเก่งไม่พอ ความรู้สึกด้านลบมันจะดึงเราให้เราทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่ก็ใช่ว่า โรค "Impostor Syndrome" จะไม่มีทางแก้ไขหรอกนะ มาดูกันเลย1.เปลี่ยน Mindset ใหม่บอกตัวเองว่า คนเรานั้นไม่เหมือนกันจริง ๆ แล้วโรคที่เกี่ยวข้องกับความคิดล้วนเกิดจาก Mindset ทั้งนั้นเพราะสิ่งที่มองเห็นมันส่งผลมายังความรู้สึกของเรามันเป็นตัวที่ทำให้เราคิด ตัวอย่างเช่นA : วาดรูปดอกไม้ได้สวยมาก ๆ ภายในเวลา 10 นาที ไม่เคยเรียนวาดภาพมาก่อนB : มองผลงานของ A และมาเปรียบเทียบกับของตัวเอง ทำให้เกิดคำถามในใจว่า ทำไม A ถึงว่ารูปดอกไม้ได้สวยขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ A ไม่เคยเรียนภาพมาก่อนแต่เราทั้งเรียน ทั้งทบทวน ทำไมถึงไม่สวยเท่ากับของ  Aนี้เป็นความรู้สึกเชิงเปรียบเทียบอย่างแท้สมบูรณ์ มันบงบอกเลยว่า B กำลังตัดท้อตัวเองและน้อยใจตัวเองที่ว่าทำไมมันเก่งไม่พอวิธีแก้ไข เลิกเปรียบเทียบและคิดว่า ทุก ๆ  งานมันจะเหมือนกันได้อย่างไร มันจะต้องมีแตกต่างกันบ้างสิ พยามให้กำลังใจตัวเองและบอกตัวเองว่า เราขอโตเติบไปในแบบของเราดีกว่า2.พยายามชื่นชมความสำเร็จเล็ก ๆ บ้างบางทีการชื่นชมความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็ทำให้เรามีกำลังใจเหมือนกันนะ อย่างเช่นA : สอบได้คะแนนเกือบเต็มB : สอบได้คะแนนผ่านครึ่งพอดี และดีใจมากที่ไม่ต้องมารอแก้ ซึ่งนี้ก็ถือว่าเป็นการประสบผลสำเร็จอย่างหนึ่งเหมือนกันในเรื่องเล็ก ๆ มันทำให้เราคิดว่า เราก็ทำได้เหมือนกันนะ 3.อย่าเอาคำว่าเก่งไม่พอ มาเป็นตัวหยุดพัฒนาบางคนพอคิดว่าตัวเองนั้นเก่งไม่พอ ก็อยากจะหยุดไปทำอย่างอื่นต่อ แต่คุณรู้ไหมการกระทำแบบนี้มันเป็นการกระทำที่สิ้นเปล่า พอคุณเปลี่ยน  คุณได้ทำสักพักและคุณก็จะกลับมาคิดเหมือนเดิมเพราะว่าคุณไม่ได้ทำสิ่ง ๆ นั้นแบบสุดจริง ๆ แล้วคุณเอาคำว่าเก่งไม่พอมาบังหน้าทำให้ไม่อยากจะทำต่อแล้ววิธีแก้ไข ร่างภาพความสำเร็จของสิ่งที่กำลังทำอยู่ไว้ก่อนว่าเรา  อยากจะเห็นความสำเร็จนั้นเป็นแบบไหนและพยามคิดว่านี้คือการเรียนรู้ เฉพาะนั้นผู้เขียนอยากให้ใครที่กำลังตกอยู่ในโรค Impostor Syndrome" โปรดเปลี่ยนความคิดใหม่ อย่าเอาคำพูดลบ ๆ มันกักกันตัวเองไม่ให้ไปต่อและท้ายที่สุด สิ่งที่มันจะทำให้เราเริ่มความคิดแบบนี้ได้ก็คือ ความพยายาม สำหรับบทความนี้ก็ได้จบลงไปแล้ว เราหวังผู้อ่านจะต้องได้อะไรกลับไปบ้างอย่างแน่นอน วันนี้จะต้องขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ ขอบคุณค่ะบทความที่เกี่ยวข้อง"Be Creative" ในวันที่ต้องกักตัว4 วิธี ปรับตัวเองให้มี "Growth Mindset"ข้อมูลอ้างอิงPodcast Imposter syndrome ทำไมคนเราชอบคิดว่าตัวเองเก่งไม่จริง? I MOODY EP. 02ภาพทั้งหมดโดย Pixabayภาพปกจาก PixabayPixabay 1 / Pixabay 2 / Pixabay 3 / Pixabay 4 /  

คุณจะเป็นไหม? Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย
อ่าน

คุณจะเป็นไหม? Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย

งานหนักไม่เคยฆ่าใคร เห็นทีจะเสื่อความขลังลงเรื่อย ๆ หลังจากที่ข่าวคนทำงานหนักจนตายถูกนำเสนอออกมาอยู่เสมอ ที่สะเทือนใจในวงกว้างเห็นจะเป็นหมอ! ข่าวแพทย์ประจำโรงพยาบาลลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ดูแลคนไข้ไม่ได้พักจนล้มป่วย ปอดติดเชื้อ เสียชีวิต ทำเอาชาวบ้านใจหายไม่น้อย จากนั้นในโรงพยาบาลชนบทแห่งหนึ่งแพทย์หญิงวัย 25 ก็ทำงานติดต่อกัน 72 ชั่วโมง ไม่มีพัก กระทั่งภูมิต้านทานอ่อนแอ ติดเชื้อจากคนไข้ และเสียชีวิตในที่สุด ทราบไหมว่า การทำงานหนักจนเสียชีวิตก็เป็นอีกโรคหนึ่งเช่นกัน นั่นคือ Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตายภาพโดย Pexels จาก Pixabay Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย Karoshi อ่านว่า “คาโรชิ” เป็นคำญี่ปุ่น แน่นอน ต้นเหตุมาจากญี่ปุ่น แต่ไม่ใช่โรคติดต่ออย่างโควิด-19 เพราะโรคนี้ไม่ได้ติดต่อทางไวรัส แต่ติดต่อทางภาวะตึงเครียด และบ้างาน บางคนจึงเรียก Karoshi Syndrome ว่า “โรคบ้างาน”Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย เริ่มรู้จักกันมากขึ้นหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ญี่ปุ่นแพ้สงคราม และเสียเงินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องฟื้นฟูประเทศอย่างหนักหน่วง คนญี่ปุ่นจึงมีค่านิยมทำงานหนักเพื่อชาติ ทำงานหนักจนตายหลายคน กรณีที่ฮือฮา คือ มิวะ ซาโดะ ผู้สื่อข่าวสาววัย 31 หัวใจล้มเหลวตาย เพราะทำงานหนักราว 159 ชั่วโมงKaroshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย ไม่ได้มีเพียงเสียชีวิตเพราะอดหลับอดนอนเท่านั้น แต่ยังมาจากการฆ่าตัวตาย เพราะเครียดและจริงจังกับงานจนเกินไปด้วย ฉะนั้นจึงมีถูกแบ่งเป็น 2 แบบทำงานจนหัวใจวายตายฆ่าตัวตายเพราะเครียด เพราะกดดัน เพราะจริงจังกับงานเกินไปภาพโดย StartupStockPhotos จาก Pixabay Karoshi Syndrome กับทางสายกลางKaroshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย นับวันจะขยายไปทั่วทุกส่วนของโลก และทุกอาชีพ ไม่เว้นแม้แต่อาชีพที่หลายคนคิดว่าน่าจะทำอย่างมีความสุขอย่างดนตรี มีตัวอย่างการเสียชีวิตของนักดนตรีเช่นกัน เป็นชายไทยวัย 62 เป่าปี่พาทย์ ในงานศพ 5 วันติดกันจนล้มลงหมดสติ และเสียชีวิตจากทั้งข่าวของแพทย์ ของนักข่าว กระทั่งคุณลุงนักดนตรี เราจะเห็นว่า Karoshi Syndrome เป็นผลมาจากสุขภาพร่างกายเป็นหลัก ลุงนักเป่าปี่อาจมีเรื่องชราเข้ามาผสม คนหนุ่ม ๆ อย่างหมอและผู้สื่อข่าว แน่นอนว่าโหมงานหนักเกินไป จนร่างกายอ่อนแอ เมื่อร่างกายอ่อนแอย่อมเปรียบเหมือนกำแพงต้านเชื้อโรคพังทลาย โรคต่าง ๆ จึงเข้าจู่โจมได้โดยง่ายนอกจากส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ และจิตใจตึงเครียดจนลามไปสู่การฆ่าตัวตายแล้ว Karoshi Syndrome ยังทำให้เกิดโรคนอนน้อยตามมาด้วย ก็คุณเล่นบ้างานไม่หลับไม่นอนนี่ ฉะนั้นไม่ว่าอาชีพใดหากทำงานไม่พักละก็ มีสิทธิ์ตายเพราะงานหนักเท่าเทียมกัน ไม่เว้นแม้แต่ฟรีแลนซ์ไส้แห้งภาพโดย Pexels จาก Pixabay ฟรีแลนซ์ไส้แห้ง หมายถึง คนทำงานอิสระที่งานไม่เข้าวิ่งชน แต่คนเราไม่มีงานเลยย่อมไม่ถูก ฉะนั้นกลุ่มเหล่านี้จะมีงานมานาน ๆ ครั้ง มาแล้วก็ตะบี้ตะบันสะสาง เพื่อแสดงศักยภาพ ไม่หลับไม่นอน ช่วงเวลานี้แหละที่จะเป็น Karoshi Syndrome ได้ผลกระทบของการนอนน้อย ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า มี โรคมะเร็งลำไส้, โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวาน, ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ, นอนไม่หลับเรื้อรัง, สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง และ อารมณ์แปรปรวนง่ายด้วยภาวะการแข่งขันสูงของยุค 4.0 อาจจะเลี่ยงความเข้มงวดทุ่มเทหนัก ๆ ไม่ได้ มามัวทำงานแบบเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ คงตกขบวน แต่ Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตายนั้นไม่สนหรอกว่า เราจะทำงานหนักเพราะเหตุใด ฉะนั้น ต่อให้ทำงานหนักเพียงไร ต้องยึดหลักทางสายกลางเข้าไว้ ทางสายกลางในที่นี้ ไม่ใช่นั่งสมาธิ แต่ต้องเป็นกลาง ทำงานมาก ต้องพักให้พอ, งานยังต้องเครียร์ เดี๋ยวไม่ทันส่ง จะพักอย่างไร ทำได้โดยกำหนดตารางในแต่ละวันขึ้นมา งาน A ส่งเวลานี้ / เวลานี้พัก / แล้วมาทำงาน B ต่อ รักษาวินัยให้ตัวเอง เราจะมีเวลาพักผ่อนระหว่างงาน และที่สำคัญอย่าเครียดกับงานมาก หากสมองตัน ให้พักทันที ขอให้ยึดคติว่า เครียด นั่งหน้ากองงานไปก็ไม่ช่วยให้คิดออก นั่ง 3 ชั่วโมงไม่เกิดผล สู้เดินเล่น 1 ชั่วโมง แล้วคิดวิธีแก้ไขออกไม่ได้ภาพโดย kaboompics  จาก Pixabay Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย ไม่ใช่โรคเล่น ๆ ขำ ๆ ทุกท่านมีสิทธิ์เป็นได้ แม้จะนั่งเล่นเกมก็มีโอกาสปะทะกับโรคนี้ ฉะนั้นงานหนักแค่ไหน ก็อย่าลืมพักผ่อนกันให้พอนะภาพปกโดย Pexels จาก Pixabay อ้างอิงmatichon.co.thnews.mthai.combrighttv.co.thworkpointnews.com

ยังไหวอยู่มั้ย? คุณอาจกำลัง Burnout โดยไม่รู้ตัวก็ได้…
อ่าน

ยังไหวอยู่มั้ย? คุณอาจกำลัง Burnout โดยไม่รู้ตัวก็ได้…

เคยรู้สึกมั้ย? ตื่นเช้ามาแบบที่ไม่ได้อยากลุก ไม่ได้อยากลา แต่ก็ไม่มีแรงจะลุกจริงๆ งานยังทำได้ ส่งทัน แต่ไม่มีความรู้สึกภูมิใจหรือสนุกกับมันเหมือนเมื่อก่อน ตอบแชต ตอบอีเมล ประชุมเสร็จหมดทุกอย่าง แต่ข้างใน… มันว่างเปล่าแบบอธิบายไม่ได้ ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า “เออ มันใช่ว่ะ” คุณอาจกำลังเผชิญกับ ภาวะ Burnout แบบไม่รู้ตัว ซึ่งน่ากลัวกว่า Burnout แบบทั่วไป เพราะมันไม่ล้มทันที แต่ค่อยๆ ดูดพลังชีวิตจนคุณชินกับความเหนื่อยไปเลย   Burnout แบบไม่รู้ตัว…เกิดขึ้นได้ยังไง? ภาวะนี้มักเกิดจาก “ความคาดหวัง” และ “ความกดดัน” ที่ไม่ได้มาจากคนอื่นเสมอไป บางทีมาจากตัวเราเองด้วยซ้ำ เช่น: อยากเป็นคนที่ไว้ใจได้เสมอ ไม่อยากให้ใครคิดว่าเราทำงานไม่เต็มที่ ตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินจนกลายเป็นความเครียดสะสม ทำงานต่อเนื่องโดยไม่พัก ไม่หยุด ไม่ฟังร่างกาย พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด...ทุกอย่างเลย สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนเป็นนิสัยของคนเก่ง คนตั้งใจ แต่ถ้าไม่รู้จักหยุดพัก มันจะกัดกินพลังใจเราแบบเงียบๆ จนวันหนึ่งถึงขั้น “หมดใจแต่ยังฝืนไปต่อ”   แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า Burnout มาเยือนแล้ว? ลองสังเกตตัวเองดูจากอาการเหล่านี้: ทำงานเสร็จแต่ไม่รู้สึกดี ไม่ภูมิใจเลย รู้สึกเฉยๆ กับความสำเร็จ ไม่มีอารมณ์อยากคุย อยากพบเจอใคร แม้แต่กับคนที่เคยสนิท รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่งานที่เคยชอบ ใช้พลังไปกับงานจนหมด ไม่มีเหลือให้ชีวิตส่วนตัว อยากหนี แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน พอมีวันหยุดก็ยังรู้สึกเครียด หรือรู้สึกผิดที่ไม่ทำงาน ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้หลายข้อ แปลว่าไม่ใช่แค่ “เหนื่อยธรรมดา” แล้ว แต่อาจอยู่ในภาวะ Burnout ที่ต้องดูแลตัวเองอย่างจริงจัง   วิธีรับมือกับ Burnout แบบไม่ต้องลาออก (ทันที) 1. ยอมรับว่าเรา “เหนื่อย” ได้ ไม่ต้องแข็งแรงตลอดเวลา การยอมรับคือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา ไม่ต้องแกล้งเก่งตลอดเวลา การบอกกับตัวเองว่า “ฉันเหนื่อย” ไม่ได้แปลว่าแพ้ แต่มันแปลว่าเรา “ฟังตัวเองเป็น” 2. ลดความคาดหวัง (จากตัวเอง) ลงบ้าง ไม่ต้องเก่งทุกเรื่อง ไม่ต้องได้คำชมจากทุกคน ไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว แค่ทำดีที่สุด “เท่าที่ไหว” ก็พอ 3. แบ่งเวลาให้ “พักแบบมีคุณภาพ” พักไม่ใช่แค่เลิกงานแล้วไปไถมือถือ ลองหากิจกรรมที่ให้ใจได้พักจริงๆ เช่น เดินเล่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ วาดรูป หรือแค่เงียบๆ อยู่กับตัวเองสัก 15 นาที 4. คุยกับคนที่ไว้ใจได้ บางครั้งเราไม่ได้ต้องการคำแนะนำ แค่ต้องการใครสักคนที่ฟังโดยไม่ตัดสิน และช่วยสะท้อนสิ่งที่เรากำลังเผชิญ 5. ขอความช่วยเหลือ ถ้าไม่ไหว หากเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างหนักเกินไป อย่ากลัวที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา เพราะบางทีแค่ได้พูด ได้ระบาย ก็ช่วยลดความอัดอั้นในใจได้มากแล้ว   สรุปส่งท้าย Burnout ไม่ได้มาในรูปแบบคนที่นอนร้องไห้อยู่บ้าน มันอาจอยู่ในตัวคุณที่ยังไปทำงานทุกวัน ยังตอบแชตลูกค้า ยังยิ้มให้หัวหน้า แต่ข้างในกำลังพังแบบเงียบๆ คุณไม่จำเป็นต้องรอให้ล้มก่อนถึงจะยอมพัก ไม่จำเป็นต้องลาออกเพื่อดูแลตัวเอง และไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่อยากให้ใจตัวเอง “มีแรงอีกครั้ง” งานสำคัญ แต่คุณสำคัญกว่า อย่ารอให้ชีวิตพัง เพราะคุณไม่กล้าบอกว่า “ฉันเหนื่อยแล้วจริงๆ” credit ภาพปก: Rudi Endresen/unsplash credit1: Nubelson Fernandes/unsplash credit2: Sydney Latham/unsplash credit3: JESHOOTS.COM/unsplash credit4: Vitaly Gariev/unsplash   เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

"หล่ง-แฟรงค์" เจอกันครั้งแรกในซีรีส์ "Love syndrome" การันตีความสนุกโดย "ต้อ มารุต"
อ่าน

"หล่ง-แฟรงค์" เจอกันครั้งแรกในซีรีส์ "Love syndrome" การันตีความสนุกโดย "ต้อ มารุต"

กระแสแรงตั้งแต่ยังไม่ลงจอออนแอร์ สำหรับซีรีส์วายรักสุดฟินที่ทุกคนรอคอย "Love syndrome รักโคตรๆ โหดอย่างมึง" ที่ถูกสร้างมาจากนวนิยายเรื่องดังของ ยอนิม การันตีด้วยยอดผู้อ่านมากถึง 100 ล้านคน และยังได้ผู้กำกับมือทองแห่งวงการละครไทยอย่าง "ต้อ มารุต สาโรวาท" มาโชว์ฝีมือนั่งแท่นกำกับซีรีส์วายเรื่องนี้ด้วย เปิดผัง "อมรินทร์ทีวี 2023" เสิร์ฟละคร ซีรีส์ รายการ สุดปังพร้อมเซอร์ไพรส์เพียบ "ต้อ มารุต"การันตีความสนุกซีรีส์ "Love syndrome" สำหรับ "Love syndrome รักโคตรๆ โหดอย่างมึง" ถือได้ว่าเป็นซีรีส์ที่แฟนด้อม (Fandom) หลายประเทศรอคอย เป็นการร่วมผลิตโดย 2 บริษัทคุณภาพ ได้แก่ บริษัท ไอ เซ็นเตอร์ จำกัด และ บริษัท โกลเด้น อายส์ วิว จำกัด โดย ต้อ มารุต ได้คว้าตัว "แฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์ ซำทองไหล" และ "หล่งซื่อ ลี" คู่จิ้นที่หลายคนกำลังให้ความสนใจในขณะนี้ เนื่องจากมีเคมี และฝีมือการแสดงที่เข้าขากัน ทำให้คนดูแอบเชียร์ว่าอยากให้กลายเป็นคู่รักนอกจอ ทั้งที่เห็นเพียงแค่ตัวอย่างทีเซอร์ไม่กี่วินาที นอกจากนี้ยังมี นักแสดงคุณภาพ ร่วมแสดงมากมาย อาทิ เอ พศิน, รัญ นัฐมนกาญจณ์, ปุ๋ย นิทัศน์, โหน่ง วสันต์ และนายแพทย์ชื่อดัง "หมอสอง นพ.นพรัตน์ รัตนวราห" ที่มาร่วมแสดงในเรื่องนี้ด้วย "Love syndrome รักโคตรๆ โหดอย่างมึง" เป็นบทประพันธ์ขึ้นหิ้งของ ยอนิม ถือเป็นนวนิยายชื่อดังที่มียอดผู้อ่านในโลกออนไลน์กว่า 100 ล้านวิว มีทั้งหมด 5 ภาค ซึ่งเรื่องนี้ทางผู้กำกับ ต้อ มารุต ได้นำภาคที่ 3 ของนวนิยาย ซึ่งเป็นภาคที่มีเนื้อหาที่แสดงถึงความทรงจำเกี่ยวกับความรัก ความผูกพันธ์และสัญญา ที่ทั้งคู่มีให้กัน จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ความทรงจำเหล่านั้นหายไป เหลือไว้เพียง ความจำที่แสนเจ็บปวด เปลี่ยนจากคนที่รัก กลายเป็นคนที่เกลียด สุดท้ายแล้วทั้งคู่จะกลับมารักกัน เหมือนเดิมได้มั้ย? แล้วผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้หรือไม่? และพวกเขาจะจำสัญญาที่มีต่อกันได้หรือเปล่า? ติดตามได้ใน "Love syndrome รักโคตรๆ โหดอย่างมึง" เริ่มออนแอร์ทุกวันเสาร์ เวลา 22.30 ทางช่องอมรินทร์ทีวี หมายเลข 34 เริ่มตอนแรกวันเสาร์ ที่ 4 มีนาคม 2566 อ่านข่าวบันเทิงวันนี้ที่เกี่ยวข้อง : เปิดผัง "อมรินทร์ทีวี 2023" เสิร์ฟละคร ซีรีส์ รายการ สุดปังพร้อมเซอร์ไพรส์เพียบ

Burnout แก้ได้ด้วยการจัดการชีวิตให้ดีขึ้น
อ่าน

Burnout แก้ได้ด้วยการจัดการชีวิตให้ดีขึ้น

Burnout แก้ได้ด้วยการจัดการชีวิตให้ดีขึ้น   Burnout หรือภาวะหมดไฟในการทำงานซึ่งเป็นภาวะทางด้านจิตใจที่มีผลมาจากความเครียดสะสมในการทำงาน อาจจะเกิดมาจากการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ เบื่องานที่ทำเพราะทำมาเป็นระยะเวลานานซึ่งหมดความท้าทาย ทำให้ผู้ที่มีภาวะหมดไฟไม่มีอารมณ์ร่วมในการทำงาน มีทัศนคติเชิงลบต่องานและเพื่อนร่วมงาน ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจจะเกิดมาจากการที่เราจัดการชีวิตเรายังไม่ดีพอ และในวันนี้ผมขอรวบรวมวิธีจัดการชีวิตในวิธีต่างๆจากหนังสือทั้ง 4 เล่มมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการปรับลดอาการ Burnout ดูนะครับ   เล่มแรกที่จะขอนำมาแบ่งปันคือ วิธีการบริหารเวลาให้คุ้มค่าที่สุดในแต่ละวัน ของคุณ Lothar Seiwert (โลทาร์ ไซแวร์ท) หลักการที่ผมนำมาแบ่งปันของเล่มนี้ก็คือ 5 ขั้นตอนในการบริหารเวลาโดยมีดังนี้ทบทวนการใช้เวลาของคุณในปัจจุบันและจับโจรขโมยเวลาให้ได้ - เรามีต้นทุนทางเวลาเท่ากันทุกคนแต่มันจะแตกต่างกันตรงการบริหารจัดการของแต่ละคนว่าดีมากแค่ไหน อันดับแรกของข้อนี้คือทบทวนกิจกรรมแต่ละอย่างของคุณว่ามีอะไรบ้างและต้องมาวิเคราะห์แต่ละกิจกรรมว่า กิจกรรมไหนเป็นโจรขโมยเวลาของคุณบ้างเริ่มตั้งเป้าหมาย - ตั้งเป้าหมายของตัวคุณเอง เป็นรายปี รายเดือนและรายวันและใช้เครื่องมือในการจัดการเช่น Time Boxingวางแผนการใช้เวลา - จากข้อที่ผ่านมา เราจะต้องใช้เครื่องมือในการช่วยในการจัดการเวลาในการทำงานและกิจกรรมของเราแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น To Do List หรือ Time Boxingจัดลำดับความสำคัญ - ในกิจกรรมต่างๆของเราในการทำงาน ก่อนเริ่มต้นของวันหรือทุกคืนก่อนนอน เราควรจัดตารางแผนกิจกรรมและลำดับความสำคัญก่อนเริ่มวันใหม่เสมอจัดระเบียบแต่ละวันและติดตามผล - ในการทำกิจกรรมแต่ละวันเราควรติดตามผลอยู่เสมอเพื่อปรับเปลี่ยนแผนให้ลงตัวขึ้นและราบรื่นขึ้น  แชร์ประสบการณ์จากเล่มแรก - โดยปกติผมจะจัดการชีวิตแผนการทำงานและเป้าหมายโดยใช้เครื่องมือTime Boxing คือในทุกคืนก่อนเข้านอน ผมจะจัดแผนของวันถัดไปที่อ้างอิงจากแผนรายเดือนและรายปีที่ตั้งไว้ ซึ่งผลที่ได้ช่วยให้จัดการชีวิตในแต่ละวันได้ดีขึ้น จัดการหน้าที่ต่างๆได้ราบรื่นและมีเวลาทำอย่างอื่นได้มากขึ้น แก้ปัญหาการ Burnout ที่เคยเกิดขึ้นได้หายขาดเลยครับ  เล่มที่สองที่จะแบ่งปันคือ The Power of When ของ Michael Breus, Ph.D. หลักการที่จะเอามาแบ่งปันคือ เรื่องการนอนครับ การนอนถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จะทำให้เรามีอารมณ์ดีหรือไม่ดีในแต่ละวันและยังส่งผลต่อการทำงานของเราแต่ละวันอีกด้วย อาจจะเป็นสาเหตุย่อยๆที่ทำให้เราเกิดอาการ Burnout ก็เป็นได้ โดยหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้แบ่งการนอนของบุคคลคนตามบุคลิกแบบสัตว์ 4 ประเภท ถ้าเรานอนถูกและเหมาะสมแต่ละประเภท เราก็จะมีพลังชีวิตในการทำกิจกรรมในแต่ละวันได้ดียิ่งขึ้นครับ โดยแต่ละประเภทมีดังนี้ครับ  โลมา : คือคนที่มีลักษณะนิสัยนอนไม่ค่อยเต็มอิ่ม ในช่วงระหว่างวันจะดูอึนๆมึนๆทั้งวัน คนประเภทนี้ควรเข้านอนไม่เกิน 23.50 น. และควรตื่นเวลา 6.30 น.  สิงโต : คือคนที่มีลักษณะชอบตื่นเช้ามากๆ มีพลังเยอะๆในช่วงเช้า ช่วงเย็นๆแรงเริ่มจะถดถอย คนประเภทนี้ควรเข้านอนไม่เกิน 22.10 น. และควรตื่นเวลา 5.30-6.00 น.  หมี : คือลักษณะคนของคนส่วนใหญ่ในโลก ตามเวลาการทำงานหรือกิจกรรมต่างๆบนโลกส่วนใหญ่มักจะอ้างอิงของคนประเภทหมี คนประเภทนี้ควรเข้านอนไม่เกิน 23.10 น. และควรตื่นเวลา 7.00 น.  หมาป่า : คือคนประเภทที่ตาสว่างตอนค่ำๆดึกๆจะมีพลังงานเยอะในช่วงนี้ คนประเภทนี้ควรเข้านอนไม่เกิน 0.20 น. และควรตื่นเวลา 7.20 น.  แชร์ประสบการณ์จากเล่มที่สอง - โดยลักษณะนิสัยของผมในช่วงชีวิตในวัยนี้เป็นคนประเภท หมาป่า(แต่ละช่วงวัยของชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงได้) ซึ่งเมื่อก่อนผมฝืนร่างกายให้นอนไวและตื่นเช้ามาทำงาน(งานส่วนตัวนอกเหนือจากงานประจำ) ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อลองปรับและพยายามเข้าใจตัวเองมากขึ้น เมื่อมีการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตโดยการทำงานช่วงค่ำๆดึกๆและตื่นช้าขึ้น จึงทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น เพราะโดยปกติสมองของผมจะแล่นดีที่สุดในตอนกลางคืน จึงจะทำให้ Productive ช่วงนั้นมากที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อชีวิตเราได้ดำเนินไปมีการเปลี่ยนแปลงของชีวิต เราก็อาจจะปรับประเภทได้เช่นกันครับ ซึ่งผมเชื่อว่าในอนาคตข้างหน้าผมก็อาจปรับเป็นบุคลิกประเภทสิงโตได้เช่นครับ เพราะความรับผิดชอบและหน้าที่ๆแตกต่างไป  เล่มที่สามและสี่ที่จะแบ่งปันก็คือ The Power of Output และ The Power of Input ของคุณ ชิออน คาบาซาวะ ซึ่งหลักการที่นำมาแบ่งปันมีดังนี้ครับ โดยหลักการจากเล่ม The Power of Output เราจะขอแบ่งปันการจัดการงานด้วยการทำ To Do List ช่วยลดการ Burnout โดยมีหลักการที่แนะนำดังนี้ เขียนหรือพิมพ์ใส่กระดาษ - ไม่ควรจดในมือถือ เพราะการที่เราดูในมือถือคือการเสี่ยงที่เราจะดูอย่างอื่นที่นอกเหนือจาก To Do List จะทำให้เราใช้เวลามากขึ้นวางไว้บนโต๊ะเสมอ - วางไว้ตรงที่เราเห็นชัดๆเมื่อเสร็จงานหนึ่งแล้วให้ขีดฆ่าออก - เป็นหลักจิตวิทยาเล็กๆ การที่เราทำให้ตัวเองรู้สึกว่าสำเร็จแล้วโดพามีน จะหลั่งออกมาทำให้เกิดแรงผลักดันมากขึ้น   แชร์ประสบการณ์จากเล่มที่สาม - สิ่งที่ผมได้นำมาปฎิบัติใช้ในชีวิตก็คือ To Do List ผมได้ทำในทุกๆวันก่อนนอนในตาราง Time Boxing อยู่แล้ว เพราะเป็นที่ผมเห็นได้ชัดที่สุด เนื่องด้วยผมได้อัพเดทข้อมูลและติดตามผลในนี้อยู่เสมอ(ทำใน iPad) แต่ถ้าเพื่อนๆไม่ถนัดวิธีนี้ก็ขอให้ลองวิธีเบื้องต้นที่แนะนำมาคือ จดใส่กระดาษและวางไว้ตรงที่เห็นได้ชัดๆ หรือมีวิธีอื่นก็ได้เช่นกันครับที่จะเป็นเครื่องมือให้เราติดตามงานและทำงานได้ Productive มากขึ้น ซึ่งวิธีไม่มีตายตัวแต่ใช้หลักการทำ To Do List เป็นวิธีแนะนำครับและหลักจากหนังสือ The Power of Input  คือ การอ่านหรือฟังเพื่อแก้ปัญหา - เป้าหมายในการอ่านหนังสือหรือฟัง Podcast คือเพื่อ เรียนรู้ และพัฒนาตนเอง แต่การอ่านและฟังยังมีประโยชน์ที่สำคัญก็คือการอ่านและฟังช่วยแก้ปัญหา ในเวลาที่เรากำลังรู้สึกหมดไฟหรือมีปัญหาชีวิต ลองพาตัวเข้าไปร้านหนังสือหรือฟัง Podcast ดีๆดูบ้าง บางครั้งปัญหาต่างๆและอาการหมดไฟต่างๆอาจจะแก้ไขและถูกฮีล ได้โดยวิธีการพวกนี้ครับ  แชร์ประสบการณ์จากเล่มที่สี่ - โดยปกติผมเป็นคนที่อ่านหนังสือเป็นประจำและซื้อหนังสือทุกเดือนอยู่แล้ว ในคำนิยามหนังสือของผมคือ เป็นได้ทั้งเพื่อนและครู หนังสือได้สอนอะไรเราหลายๆอย่างในชีวิต บางเหตุการณ์ที่มีปัญหาในเนื้องานหรือกับเพื่อนร่วมงาน หนังสือก็เป็นทั้งครูและเพื่อนที่คอยชี้แนะเราและอยู่เป็นเพื่อนเราที่เข้าใจเรา หรือแม้กระทั่งพาเราให้ค้นเจอความหมายของชีวิตที่เราไม่เคยนึกถึงหรือบางครั้งเราอาจเผลอลืมไปครับ  อาการ Burnout อาจจะแก้ไขด้วยการจัดการชีวิตให้ดีขึ้นก็อาจเป็นได้ เมื่อเราทำสิ่งเดิมๆซ้ำๆ อาจจะทำให้เรารู้สึกเบื่อและหมดไฟได้เป็นเรื่องธรรมดา เราอาจจะต้องปรับวิธีการทำงานบ้าง เพิ่มคุณค่าอะไรบางอย่างเข้าไปในงานหรือกิจกรรมที่ทำเพิ่มเติมบ้าง มันก็อาจช่วยให้เราสนุกกับสิ่งที่ทำมากขึ้นครับ การที่เราเปลี่ยนงานที่ทำบ่อยๆอาจจะไม่ใช่ทางแก้ไขที่ดีที่สุดครับ ลองปรับวิธีและทัศนคติที่มีต่อในงานเดิมที่ทำดูสักตั้งก่อน ถ้าไม่ใช่จริงๆ ค่อยเปลี่ยนก็ถือว่าเราได้ลองทำเต็มที่แล้วครับ เป็นกำลังใจให้ครับเครดิตภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียนข้อมูลอ้างอิงจากช่อง YouTube: After Work  เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

รีวิว วิถีฟรีแลนซ์ รับมืออย่างไรเมื่อทำงานมากไปจน Burnout
อ่าน

รีวิว วิถีฟรีแลนซ์ รับมืออย่างไรเมื่อทำงานมากไปจน Burnout

สวัสดีค่ะทุกท่านที่แวะมา บทความนี้ขออนุญาตรีวิวตัวเองเล็กน้อย อยากจะเล่าเรื่องราวของชีวิตที่ตัดสินใจออกจากงานประจำมาเป็นฟรีแลนซ์เซอร์ (Freelancer) เต็มตัว ก็อยู่แบบนี้มานานมากแล้วร่วม 10 ปีเห็นจะได้ ก็ต้องบอกว่าทำงานมาหลากหลายอย่างมาก แทบทุกอย่างเป็นฟรีแลนซ์หมดเลย มันมีข้อดีแน่นอนกับทางเลือกนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อเสียก็เยอะเหมือนกัน พอทำงานเยอะเข้าทุกวัน ๆ ความล้าทางสภาพจิตใจก็มาเยือนเคยเป็นเหมือนกันไหม มาดูการรับมือในแบบฉบับของอ้ายฉิงกันเหตุผลที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำอาชีพอิสระสำหรับอ้ายฉิงเองอาจไม่ได้คิดนานเท่าไหร่ในการตัดสินใจลาออกจากงานประจำ แต่ก็ไม่อยากให้ใครเอาเป็นแบบอย่างถ้ายังไม่ได้มีงานรองรับหรือช่องทางที่ดีกว่า อ้ายฉิงทำงานประจำได้ไม่นาน และทำไปควบคู่กับการรับงานฟรีแลนซ์ด้วย ถ้าจะให้เทียบรายได้ทั้ง 2 ทาง อ้ายฉิงเองได้เงินจากฝั่งงานอิสระมากกว่า เพราะเป็นงานที่เราทำเยอะ เงินก็เยอะตามไปด้วยสำหรับงานบริษัทนั้นอ้ายฉิงทำตำแหน่ง Editor คอยตรวจสอบเนื้อหาบทความให้กับบริษัทหนึ่ง ไปพร้อมกับการผลิตเนื้อหาด้วย ทุกอย่างราบรื่นดีไม่มีปัญหาอะไร เงินเดือนก็ไม่สูงหมื่นนิด ๆ เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี เข้ากับทุกคนได้หมด แต่ติดปัญหาอย่างเดียวที่ทำให้ไม่อยากไปทำงานคือ อ้ายฉิงเมารถไฟฟ้า เมารถเมล แถมไม่ชอบการตื่นเช้า มันมีเหตุผลแค่นี้จริง ๆ ที่ทำให้ลาออก มาเป็นฟรีแลนซ์เต็มตัวเป็นอย่างไรบ้าง ?อย่างแรกเลยก็นอนตื่นสายเอาเท่าที่ตัวเองพอใจเลย ถ้าไม่มีนัดสำคัญอะไรอ้ายฉิงจะไม่ค่อยออกจากเตียงในตอนเช้าเลย ต่อให้ใครว่าอากาศและแดดเช้ามันดีแค่ไหนก็ตาม พอมาทำอาชีพอิสระงานทุกอย่างก็ต้องควบคุมเวลาด้วยตัวเองทั้งหมด ก็ต้องขอขอบคุณลูกค้ามากมายแต่จ้างอ้ายฉิงมาอย่างไม่ขาดสายจนถึงทุกวันนี้ งานที่อ้ายฉิงทำมีหลายอย่างมาก มีดังนี้Youtuber มีหลายช่องต้องขออนุญาตปิดชื่อช่องไว้ก่อนไม่ค่อยชอบเปิดเผยเท่าไหร่ในส่วนนี้นะคะ แต่อ้ายฉิงอยากจะบอกว่า ใครสนใจทำอาชีพนี้ถ้าตั้งใจจริง ๆ ทำแค่ทางเดียวนี้ก็อยู่ได้สบาย ๆ เลย มีตัวอย่างให้เห็นเยอะมากในปัจจุบันยูทูบเบอร์เมืองไทยเราเก่ง ๆ เยอะ อ้ายฉิงเองก็เป็นยูทูบแต่ไม่เน้นเปิดหน้าตาจะใช้เสียงกับข้อมูลมากกว่าขายสินค้าแบบ Dropship ขายหลายสินค้าตามแต่ชอบ บางอย่างก็ขายสนุก บางอย่างก็ขายยากแล้วแต่สินค้า ซึ่งงานนี้ก็เหมือนกับการขายออนไลน์ทั่วไปเพียงแต่เราไม่มีของ เรามีหน้าที่แค่ขายแล้วส่งยอดให้กับเจ้าของสินค้า เราจะบวกกำไรเพิ่มหรือได้เปอร์เซ็นจากร้าน ขึ้นอยู่กับตกลงกันกับเจ้าของแบรนด์ขายสินค้าแบบทำ Affiliate Marketing ข้อนี้บอกได้คร่าว ๆ เผื่อใครอยากลองทำ อ้ายฉิงทำให้กับทาง LAZADA Shopee Klook  Booking จริง ๆ ในไทยเรามีอีกหลายที่เลยที่เราสามารถทำ Affiliate ได้ ข้อนี้ยิ่งง่ายกว่าดรอปชิปเพราะแค่ใช้ลิ้งก์สินค้าไปโปรโมท ถ้ามีคนซื้อสินค้าผ่านลิ้งก์เรา ก็จะได้รับคอมมิชชั่นตามเงื่อนไขรับเขียนบทความ งานนี้อ้ายฉิงชอบมาก ๆ เป็นงานที่ทำได้ตลอดแบบไม่มีเบื่อเลย รับงานได้ทั้งแบบเป็นทางการและเน้น SEO (Search Engine Optimize) ลูกค้าอยากได้แบบไหนจัดไปอย่าให้เสีย ราคาค่าชิ้นงานแล้วแต่บริษัทแล้วแต่ความยากง่ายและการตกลงกันระหว่างเรากับลูกค้าที่มาจ้าง มากน้อยต่างกันไปขายต้นไม้ สำหรับอาชีพสุดท้ายนี้เพิ่งเริ่มได้เพียง 1 ปีกว่า ๆ เท่านั้น ปกติก็ปลูกประดับ ปลูกไปปลูกมาเต็มโรงเรือน ก็เลยเปิดขายด้วย มีลูกค้าแวะเวียนมาบ้างแต่ก็ไม่เยอะ มีขายผ่าน Live สดด้วย แต่ปัจจุบันไลฟ์สดค่อนข้างขายยากสักหน่อยรับงานรีวิว รับถ่ายภาพ ซึ่งงานนี้สนุกและได้ลงหน้างานด้วย ส่วนมากลูกค้าที่จ้างงานนี้จะเป็นสถานที่ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ร้านกาแฟ บ้านพัก คอนโด ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งบอกเลยว่าสนุกมากแต่ก็เหนื่อยเหมือนกัน ยิ่งถ้าได้ออกต่างจังหวัดก็เหมือนไปเที่ยวไปในตัวเลย แต่ถ้าเป็นสินค้า ลูกค้าจะส่งสินค้าหรือผลิตภัณฑ์มาให้รีวิวถึงที่ มีทั้งรีวิวแบบ Video กับแบบเขียนรีวิว เขาสั่งแบบไหนก็ทำแบบนั้นทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นงานที่อ้ายฉิงทำ ก็มีทั้งรูปแบบมีนายจ้างและไม่มีนายจ้าง อย่างถ้าเป็นยูทูบเบอร์ก็ไม่มีใครมาจ้าง นายคงเป็น Google ถ้าเราอยากได้เงินจากเขาก็ต้องขยันผลิตคลิปวิดีโอให้น่าสนใจลงช่อง แต่เพราะความเบื่อง่ายและชอบทำหลายอย่าง จนบางครั้งก็รู้สึกเหนื่อยมาก ๆ จนไม่อยากทำอะไรเลย เชื่อว่าหลายคนคงจะเคยเป็นเหมือนกัน ภาวะ Burnout Syndrome ซึ่งเป็นการล้าทางสภาพจิตใจ อารมณ์ ของเราเอง ทำให้หมดอารมณ์จะทำงานไปเลยความรู้สึกไม่อยากทำอะไรแบบ Burnout Syndrome เพิ่งจะมาโจมตีอ้ายฉิงเมื่อปีที่แล้วยาวมาจนถึงต้นปีนี้เลย แต่ก็ดีที่ยังพยายามประคับประคองตัวเองให้รอดมาได้ เพราะมันไม่อยากจะทำงานใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากเจอใครเลย ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบไหนมันล้าไปหมด ก็มีบางงานที่ยังต้องฝืนทำต่อเพราะเลี่ยงไม่ได้ ลูกค้ารออยู่และเงินในชีวิตประจำวันก็ต้องใช้ มันก็ทำให้เกิดความล่าช้าในการทำงาน มันไม่ดีเลยแบบนี้ บางอารมณ์ชั่ววูบหนึ่งจะรู้สึกเหมือน ไม่อยากอยู่ ณ จุดนั้น มันไม่ใช่แค่การไม่อยากอยู่บ้าน แต่มันคล้ายกับว่าไม่อยากอยู่บนดาวโลกนี้เลย เป็นถึงขนาดนั้นวิธีรับมือกับภาวะ Burnout Syndrome ให้ดีขึ้น คลายความอ่อนล้า ลดความเบื่อ หมดไฟให้กลับมาทำงานต้องบอกก่อนว่ามันเป็นวิธีรับมือแบบฉบับของอ้ายฉิงเอง ไม่ได้มีการไปปรึกษาแพทย์หรือใครแต่อย่างใด ความรู้สึกไม่อยากทำอะไรมันยังคงแวะเวียนมาอยู่เรื่อย ๆ แต่ ณ ตอนนี้ ปัจจุบันนี้มันดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ซึ่งวิธีจัดการของอ้ายฉิงมีดังนี้สิงสถิตอยู่ในการ์ตูนเรื่องโปรดแบบไม่ต้องเปิดงานทำเลย แต่เปิดการ์ตูนดู เป็นคนชอบดูการ์ตูน ดูอนิเมะ อ่านมังงะอยู่แล้ว พอได้หลุดเข้าไปในโลกนั้นมันก็ปล่อยจินตนาการไปตามเนื้อหาเลยหาหนังกับซีรีส์ดู ซึ่งก็ดีตรงที่จะมีคนคอยแนะนำหนังน่าดู ซีรีส์น่าสนใจมาให้ตลอด ก็เลือกเรื่องที่อยากดูแล้วก็เหมือนให้ชีวิตตัวเองเป็นนางเอกซีรีส์ไปเลย แบบนั้นก็พอช่วยได้ แต่พอดูจบเท่านั้นล่ะ ก็เริ่มมานั่งคิดอีกแล้วจะทำอะไรดีหว่านั่งอยู่เฉย ๆ หรือนอนอยู่เฉย ๆ ในเมื่อชีวิตต้องการความว่างเปล่า ความสงบเงียบก็ปล่อยเลย ปล่อยตัวเองนั่งอยู่แบบนั้นเฉย ๆ นาน ๆ ซึ่งอ้ายฉิงทำแบบนี้จริง ๆ ข้อความไม่ตอบ โซเชียลไม่เคลื่อนไหว ไม่ทำอะไรทั้งสิ้นไปสักระยะหนึ่งของวัน นั่งนอนไปจนพอใจแล้ว มันยังจะมีอะไรพาตัวเองออกจากตรงนั้น ซึ่งส่วนมากคือการไปเดินเล่นกับสุนัข หรือถึงเวลาต้องให้อาหารแมว เหมือนมันเป็นรูทีนไปแล้วเรื่องหมาแมวมันเลยทำได้แบบอัตโนมัติเลยออกจากบ้าน การเปลี่ยนบรรยากาศก็ทำให้จิตใจเราเปลี่ยนได้เหมือนกัน เรียกว่าอยู่บ้านนานไปมันก็เบื่อ ด้วยปกติเป็นคนชอบเที่ยว อยู่ไม่ค่อยติดบ้านอยู่แล้ว พอช่วงไวรัสมาคนต้องกักตัวกันเยอะทำให้อ้ายฉิงเองก็ไม่ค่อยได้ไปไหนเหมือนกัน แต่ก็ดีที่มีเพื่อนมาหา ชวนไปเที่ยวในวันหยุดบ้างออกเดินทางท่องเที่ยว การเที่ยวเป็นอะไรที่อ้ายฉิงชอบมาก แม้บางทริปจะเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ตาม มันมีความสนุก ความประทับใจในแบบของมัน แล้วอ้ายฉิงก็เริ่มออกจากบ้านบ่อยขึ้น เที่ยวบ่อยขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาเยอะเลย จนไม่รู้สึกถึงความล้าแบบคนหมดอาลัยตายอยาก แต่มันก็มีข้อเสียตรงที่เสียเงินนี่แหละ แต่ก็ช่างมันเป็นสิ่งที่เรายอมจ่ายอยู่แล้วอยู่กับต้นไม้ เดินรอบสวนตัวเอง บางวันอ้ายฉิงก็ผละออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วมาขลุกอยู่ในสวนแบบตั้งแต่ตื่นยันมืดค่ำเลย เป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งในชีวิตที่สามารถทำได้แบบไม่ต้องสนใจเวลา ปลูกต้นไม้ ขยายพันธุ์ ถอนหญ้า เปลี่ยนกระถาง มันสนุกไปหมดคุยกับใครสักคนที่เราอยากคุยด้วย แล้วเขาก็พร้อมคุยกับเรา ข้อนี้มันก็มีดีตรงที่เราจะได้รับคำแนะนำบ้าง ได้ข้อคิดบ้าง ได้ลืมความล้าไปเพราะไปคิดเรื่องอื่นที่กำลังคุยอยู่ด้วย ซึ่งอ้ายฉิงก็ไม่ได้อยากจะคุยกับทุกคนที่อยู่รอบตัว อยากจะคุยแค่กับบางคนเท่านั้นในบางครั้ง คนบางคนแม้อยู่ใกล้ชิดรอบตัวเราแต่บางครั้งคุยไปก็รู้สึก toxic ก็มีเหมือนกัน ข้อนี้เลยใช้ได้เป็นบางครั้งตั้งเป้าหมายบางอย่างให้ตัวเองมีแรงบันดาลใจ ซึ่งอ้ายฉิงก็ตั้งมาได้บางอย่าง พอเราเริ่มมีเป้าหมายความคึกมันจะกลับมาจริง ๆ นะ อยากให้ทุกคนได้ลองดู มันสนุกตั้งแต่นั่งคิดวางแผนแล้วว่าเราจะมีเป้าอะไร พอได้เป้าแล้ว ก็เริ่มลงมือทำตามแผนหลัก ๆ ก็ประมาณนี้ที่ทำให้อ้ายฉิงลืมความล้าจากการทำงานไปได้ แก้ปัญหาคือการพัก พักในแบบที่เราอยากจะพักนั่นเอง งานมันทำแล้วสนุกก็จริงในบางครั้ง แต่พอต้องอยู่กับมันบ่อย ๆ ทุกวัน ก็เริ่มจะเบื่อได้เหมือนกัน คนเราจะอยู่กับอะไรซ้ำซากได้นานแค่ไหนกันเชียว การหาอะไรใหม่ ๆ ทำก็ช่วยให้กลับมามีชีวิตชีวาได้ แต่ก็ต้องบอกว่าการรับมือวิธีดังกล่าวนั้นเป็นแบบฉบับอ้ายฉิงเอง อาจใช้ไม่ได้กับคนทั้งหมดฉะนั้นก็นำไปปรับให้เหมาะกับตัวเองนะภาวะหมดไฟในการทำงาน Burnout Syndrome คืออะไร ?มาทำความเข้าใจกับภาวะนี้กันหน่อยเพราะว่าทุกคนนั้นเสี่ยงจะเป็น Burnout Syndrome ได้ทั้งสิ้น เพราะในสมัยนี้ทุกคนต้องดิ้นรน ทำงาน หาเงินกันตัวเป็นเกลียวเลย เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นข้าวของทุกอย่างแพงขึ้นหมด งานหนักขึ้นความกดดันมหาศาลหลายด้านตามมา ไม่เบื่อก็ให้มันรู้ไป ภาวะนี้สามารถเกิดกับทุกคนได้ เป็นความอ่อนล้าที่เกิดขึ้นทางอารมณ์ และจนบางครั้งส่งผลกระทบต่อร่างกายด้วยเหมือนกันพอเครียดสะสมเข้าไปมาก ๆ ความรู้สึกหมดไฟก็มาหา การอยากทำงานลดลงไปเยอะ เริ่มไม่ตอบสนองต่อการทำงาน ไม่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้นเลย แรงจูงใจก็หมดไป ความรู้สึกลบ เสียใจ เครียด เศร้า ซึ่งภาวะนี้ก็ทางองค์การอนามัยโลก ให้อาการหลัก 3 อาการด้วยกันรู้สึกสูญเสียพลังงานเกิดภาวะอ่อนเพลียต่อต้านการทำงาน ขาดความตั้งใจระยะของภาวะหมดไฟระยะฮันนีมูน (The Honeymoon) สำหรับช่วงนี้เป็นช่วงของการเริ่มต้น คนทำงานก็จะตั้งใจ เสียสละเพื่อให้งานออกมาดีและยังต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมงานระยะรู้สึกตัว ( The awakening) พอผ่านไปสักระยะ ก็เริ่มมีความคาดหวังและเริ่มรู้สึกถึงความเป็นจริงที่เป็นกับความคาดหวังที่มันไม่ตรงกัน รู้สึกถึงงานไม่ตอบสนองกับความต้องการของตน จะเหมือนว่าผิดพลาดบางอย่างในชีวิต พอจัดการกับมันไม่ได้ก็เริ่มขัดข้องในใจ แล้วเหนื่อยล้าตั้งใจกายเลยระยะไฟตก (Brownout) เป็นอาการเหนื่อยล้าแบบเรื้อรัง ส่งผลให้อารมณ์หงุดหงิดง่าย จนกระทบต่อการใช้ชีวิต จนเปลี่ยนไปแบบไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น ใช้เงินฟุ่มเฟือย วิจารณ์องค์กรตัวเอง ติดสุรา เป็นต้น อาจมพฤษติกรรมอื่น ๆ ตามมา แล้วทำให้ชีวิตการทำงานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไประยะหมดไฟเต็มที่ (Full scale of burnout) เป็นระยะที่ค่อนข้างน่ากังวลมากทีเดียว โดยเฉพาะใครที่รับมือไม่ไหว เพราะความสิ้นหวังสุด ๆ กำลังกัดกร่อนกิน ความล้มเหลวมาเยือน ความมั่นใจไม่มี หมดไฟแบบเต็มกำลังเลยทีเดียวระยะฟื้นตัว (The phoenix phenomenon) หากร่างกายและจิตใจได้รับการพักผ่อน ได้ผ่อนคลายอย่างดีแล้ว จะเริ่มค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาเข้าสู่วงวารของการทำงานได้ เริ่มคาดหวังกับงานให้ตรงกับความจริงแล้ว บางคนก็มีแรงบันดาลใจกลับมาจากบางอย่าง มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตและการทำงาน แบบนี้ก็คือกลับมาปกติแล้วนั่นเองภาวะนี้อ้ายฉิงเป็นบ่อยแต่ก็รับมือแล้วกลับมาปกติได้เสมอ แต่ก็ใช่ว่าจะอยากให้เกิดบ่อย ๆ เพราะมีผลกระทบกับงานโดยตรงเลย สำหรับท่านใดที่กำลังเจอกับภาวะหมดไฟอย่างรุนแรงอยู่จนพักแล้วไม่หาย พบใครก็ไม่ดีขึ้นก็ต้องหาที่ปรึกษาด้านนี้โดยเฉพาะให้การแนะนำ เพราะหากปล่อยให้ตัวเองรู้สึกหมดหวังไปนาน ๆ ก็อันตรายเหมือนกัน หากตอนนี้คุณกำลังเจอกับอาการหมดไฟไม่อยากทำงานอยู่ลองเอาวิธีของอ้ายฉิงไปปรับใช้ได้ อาจช่วยได้ไม่มากก็น้อยภาพประกอบ : ภาพประกอบ 1 (โดย 千图网), ภาพประกอบ 2  (โดย 588ku), ภาพประกอบ 3 (โดย 58pic), ภาพประกอบ 4  (โดย 58pic), ภาพประกอบ 5 (โดย 58pic), ภาพประกอบ 6 ( โดย 58pic)  (ทุกภาพอ้ายฉิงซื้อภาพมาอย่างถูกลิขสิทธิ์ในเว็บ th.pngtree.com )ภาพปก :  โดย 588ku , 58pic , 58pic (ทุกภาพอ้ายฉิงซื้อภาพมาอย่างถูกลิขสิทธิ์ในเว็บ th.pngtree.com )แต่งภาพปก : Canva.comข้อมูลเกี่ยวกับภาวะ Burnout Syndrome : www.rajavithi.go.th เนื้อหารีวิว : อ้ายฉิง (ผู้เขียน) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

Romantic Syndrome (โรแมนติก ซินโดรม) - Mos Patiparn : เธอคือคนสำคัญในเรื่องราวความรักของฉัน
อ่าน

Romantic Syndrome (โรแมนติก ซินโดรม) - Mos Patiparn : เธอคือคนสำคัญในเรื่องราวความรักของฉัน

เพลง "Romantic Syndrome (โรแมนติก ซินโดรม)" ของ Mos Patiparn เป็นเพลงที่เน้นถึงความรักและความสำคัญของคนรักในชีวิตในบทความนี้ ผู้เขียนจะพาผู้อ่านทุกท่านมาอ่านรีวิวบทเพลง "Romantic Syndrome (โรแมนติก ซินโดรม)" ของ Mos Patiparn กันครับ ติดตามอ่านในบทความนี้ได้เลยครับการเล่าเรื่องในบทเพลงเพลง "Romantic Syndrome (โรแมนติก ซินโดรม)" ของ Mos Patiparnมีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความรักและความรู้สึกอันอบอุ่นที่เกิดขึ้นในการพบเจอกันและมีความเข้าใจร่วมกันระหว่างคู่รัก ความรักที่เขากล่าวถึงเป็นความรักที่สุดใจและไม่สามารถหายไปได้ และเนื้อหาเพลงนี้เล่าถึงความรู้สึกที่เขามีต่อคนที่เป็นคนสำคัญในชีวิตของเขาท่อนเพลงที่ชอบเธอเป็นหนังสือเล่มโปรดที่อ่านซ้ำๆเธอเป็นเพลงที่ชอบฟัง เป็นหมื่นพันครั้ง ถ้ามีเธอเป็นคำร้องฉันก็พร้อมจะเป็นท่วงทำนอง ไม่อยากให้เราต้องห่างยังงี้เลยผู้เขียนชอบเพลงท่อนนี้มากที่สุด เพราะ ท่อน "เธอเป็นหนังสือเล่มโปรดที่อ่านซ้ำๆ" บอกเล่าความรู้สึกคนสำคัญของความรักและความรู้สึกภายในใจ เนื้อความในท่อนนี้บอกคนที่สำคัญในความรักและความรู้สึกภายในใจส่วนท่อน "เธอเป็นเพลงที่ชอบฟัง เป็นหมื่นพันครั้ง ถ้ามีเธอเป็นคำร้อง" บอกเล่าความรู้สึกที่ความรักและความสำคัญของคนรักในชีวิต เนื้อความในท่อนนี้เล่าความสุขและความสมดุลในความรักและความรู้สึกโดยเฉพาะท่อน "ฉันก็พร้อมจะเป็นท่วงทำนอง ไม่อยากให้เราต้องห่างยังงี้เลย" บ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกของการพร้อมที่จะดูและและจับมือกันอย่างเหนียวแน่น เนื้อความในท่อนนี้ชี้ถึงพยายามทำให้ความสุขและสำเร็จในความสัมพันธ์ เนื้อเพลงเล่าเรื่องนำเสนอได้เป็นอย่างดีเสน่ห์ดนตรี และเอ็มวีเสน่ห์ของดนตรี คือ แนวดนตรีรุ่นใหม่ที่อบอุ่นด้วยความรัก โดยเฉพาะเสียงของเป็นเพลงที่มีสไตล์น่ารักและของเรียบที่มีแนวโน้มในการสร้างเพลงที่ฟังง่ายและจดจำได้ง่ายผ่านเรื่องราวความรัก และ เสน่ห์ของเอ็มวี บอกเล่าเรื่องราวผ่านฉากของการพบเจอความรัก เป็นสัญญะที่แสดงถึงความสำคัญของคนรักในชีวิตและสามารถสื่อถึงความรู้สึกของความหลงใหลและโรแมนติกได้อย่างสวยงามสรุปส่งท้ายเพลง "Romantic Syndrome (โรแมนติก ซินโดรม)" ของ Mos Patiparn เป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่มีความไพเราะเล่าเรื่องดนตรีแนวดนตรีรุ่นใหม่ที่อบอุ่นด้วยความรัก โดยเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่นำเสนอมุมมองคนสำคัญของความรักให้กับผู้ฟังได้เป็นอย่างดี ท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยฟัง เพลง "Romantic Syndrome (โรแมนติก ซินโดรม)" ของ Mos Patiparn อย่าลืมไปติดตามฟังกันนะครับฟังเพลงเต็มได้ที่นี่เลยครับhttps://www.youtube.com/watch?v=pLtV83cOxOYเครดิตรูปภาพภาพหน้าปก จาก Mos Patiparn Patavekarnภาพที่ 1 จาก Mos Patiparn Patavekarnภาพที่ 2 จาก Mos Patiparn Patavekarnภาพที่ 3 จาก Mos Patiparn Patavekarnภาพที่ 4 จาก Mos Patiparn PatavekarnเครดิตวิดีโอMos Patiparn - Romantic Syndrome (โรแมนติก ซินโดรม) - Official MV #Mospatiparn #Romanticsyndrome   เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

Gulf War Syndrome ผลกระทบสุขภาพทหาร ที่ผ่านการทำศึกสงคราม
อ่าน

Gulf War Syndrome ผลกระทบสุขภาพทหาร ที่ผ่านการทำศึกสงคราม

ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากประชาชนผู้บริสุทธิ์จะได้รับผลกระทบแล้ว ทหารที่เป็นแนวหน้าสู้รบปกป้องอธิปไตยของประเทศ ก็ต้องดูแลทั้งสภาพร่างกายและจิตใจที่อาจได้รับผลกระทบจากการศึกสงครามด้วยย้อนกลับไปในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียปี 1991 มีผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดขึ้นต่อทหาร อาจจะเป็นกรณีศึกษาในเรารู้เท่าทัน และป้องกันผลกระทบทางสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นกับเหล่าทหารกล้าที่ทำหน้าที่อย่างขันแข็งที่แนวหน้า Gulf War Syndrome ผลพวงสุขภาพของทหารในอ่าวเปอร์เซียหนึ่งในภาวะที่พบในทหารผ่านสงคราม คือ ภาวะที่เรียกว่า Gulf War Syndrome ซึ่งอธิบายภาวะทางร่างกายและสภาพจิตใจที่เกิดขึ้นกลับเหล่าทหารที่ร่วมทำสงครามที่อ่าวเปอร์เซีย ในปี 1991 หลังเสงครามจบลง กลับว่ามีทหารหลายคนล้มป่วยด้วยโรคที่ไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้อาการที่พบมีความหลากหลาย เช่น ความอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดศีรษะ ปัญหาด้านการรับรู้และความจำ ปัญหาระบบทางเดินอาหาร ปัญหาผิวหนัง ปัญหาการนอนหลับ และความผิดปกติทางระบบประสาทอาการเหล่านี้พบในทหารที่ร่วมสู้รบในสงคราม ซึ่งเป็นคนละกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่สาเหตุของ Gulf War Syndromeสาเหตุของโรคยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยร่วมกันที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสสารต่างๆ ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียปี 1990-1991จากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการสัมผัสสารเคมีที่ใช้ในสงคราม ยาเม็ดไพริดอสติกมีนโบรไมด์ ยาฆ่าแมลง ยูเรเนียมด้อยสมรรถนะ และควันจากไฟไหม้บ่อน้ำมัน ประกอบกับความเครียดทางจิตใจ น่าจะเป็นสาเหตุของโรคนี้คล้ายกับอาการที่พบในทหารสงครามโลกครั้งที่ 2นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่า อาการที่พบ คล้ายกับโรคที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สองแต่แสดงอาการแตกต่างกัน เช่น มีความเครียดสูงหลังกลับจากสงคราม เป็นโรคผิวหนัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจติดขัด โรคไข้หวัดใหญ่เรื้อรังแต่ Gulf War Syndrome เป็นผลทั้งทางการได้รับสารเคมี และสภาวะการเครียดในสงครามการรักษาค่อนข้างยากเพราะเป็นตัวแปร ด้านจิตใจ ที่ส่งผลต่อร่างกายคล้ายกับ PTSD ด้วยPTSD พบมากในทหารผ่านศึกเวียดนาม Posttraumatic Stress Disorderชื่อภาษาไทยยังไม่มี อาจจะเรียกให้เข้าใจง่ายๆว่า “โรควิตกกังวลหลังเหตุการณ์รุนแรง”อาการของโรคนี้จะแตกต่างกัน แต่เน้นไปที่อารมณ์ และแสดงออกทางความรุนแรง ย้อนไปในสงครามเวียดนาม มีทหารเวียดนามเสียชีวิตในสงคราม 58,000คน แต่หลังจากกลับบ้านแล้ว ทหารผ่านศึกเหล่านั้นตัดสินใจจบชีวิตไปกว่า 1 แสนราย เนื่องจากผลกระทบทางจิตใจที่ได้รับจากภาวะสงคราม สุดท้าย จะเห็นได้ว่าผลพวงจากการทำสงคราม ส่งผลกระทบต่อคนทุกคนไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเหล่าทหารที่แม้จะถูกฝึกมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ความรุนแรงและความตึงเครียด ก็ย่อมส่งผลต่อสภาพจิตใจได้ และต้องอาศัยเวลาช่วยฟื้นฟูให้การฟื้นฟูต่อไป การเตรียมการเพื่อป้องกันและดูแลไว้ก่อน ก็ย่อมดีกว่า ที่จะมาแก้ไขในภายหลัง

ถึงตายได้! Karoshi Syndrome ภัยเงียบที่คุกคามผู้ชายวัยทำงาน
อ่าน

ถึงตายได้! Karoshi Syndrome ภัยเงียบที่คุกคามผู้ชายวัยทำงาน

คาโรชิ ซินโดรม (Karoshi Syndrome) หรือ "กลุ่มอาการเสียชีวิตจากการทำงานหนัก" เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและสุขภาพที่เริ่มเป็นที่รู้จักในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และได้แพร่กระจายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในสังคมที่มีการแข่งขันสูงและให้คุณค่ากับความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก แม้ว่า คาโรชิ ซินโดรม จะสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ แต่ผู้ชายมักมีความเสี่ยงสูงกว่าซึ่งจะเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง และจะมีวิธีป้องกันอย่างไร เรามีคำตอบมาให้แล้ว คาโรชิ ซินโดรม (Karoshi Syndrome) เกิดจากอะไร ทำไมผู้ชายถึงเสี่ยงมาก การทำงานล่วงเวลาเป็นเวลานาน: ผู้ชายมักถูกคาดหวังให้ทำงานหนักและอยู่ในที่ทำงานเป็นเวลานาน ซึ่งนำไปสู่ความเหนื่อยล้าสะสมและความเครียดเรื้อรัง ความกดดันในการทำงาน: การแข่งขันสูงในที่ทำงานและความคาดหวังจากนายจ้างสร้างความกดดันอย่างมาก ข้อนี้อาจแบ่งได้ยากกว่าเพศไหนหนักกว่ากัน แต่แน่นอนว่าผู้ชายก็เผชิญปัญหานี้ไม่น้อย การขาดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน: ผู้ชายหลายคนให้ความสำคัญกับงานมากกว่าชีวิตส่วนตัว ทำให้ขาดเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมอื่นๆ วัฒนธรรมองค์กร: บางองค์กรมีวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการทำงานหนักและการอยู่ในที่ทำงานเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในประเทศฝั่งเอเชีย ความรับผิดชอบทางการเงิน: ผู้ชายมักรู้สึกกดดันในการหาเลี้ยงครอบครัวและรักษาสถานะทางการเงิน เพราะถูกมองว่าจะต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีความเป็นผู้นำในเรื่องต่างๆ Checklist: วิธีดูว่าคุณเสี่ยงมีอาการ คาโรชิ ซินโดรม (Karoshi Syndrome) หรือไม่ ลองใช้ checklist นี้เพื่อประเมินว่าคุณมีความเสี่ยงต่อ คาโรชิ ซินโดรม (Karoshi Syndrome) หรือไม่ ตอบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" สำหรับแต่ละข้อ: คุณทำงานมากกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นประจำ [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากแม้หลังจากนอนหลับ [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณมีปัญหาการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับหรือตื่นกลางดึกบ่อยๆ [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณมีอาการปวดศีรษะหรือปวดเมื่อยตามร่างกายเป็นประจำ [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับงานตลอดเวลา [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณละเลยการดูแลสุขภาพ เช่น ไม่ออกกำลังกายหรือรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณมักทำงานในวันหยุดหรือวันลาพักร้อน [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณรู้สึกว่าไม่มีเวลาให้กับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณมีอาการหงุดหงิดง่ายหรืออารมณ์แปรปรวน [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณรู้สึกหมดแรงจูงใจหรือไม่มีความสุขกับงานที่ทำ [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น ความดันโลหิตสูง กรดไหลย้อน หรือโรคกระเพาะ [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณรู้สึกว่าไม่สามารถปฏิเสธงานหรือความรับผิดชอบเพิ่มเติมเกินหน้าที่ได้ [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณมักดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดเพื่อจัดการกับความเครียด [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณรู้สึกว่าชีวิตของคุณหมุนรอบแต่เรื่องงานเท่านั้น [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ คุณมีปัญหาในการจดจำหรือมีสมาธิสั้นลง [ ] ใช่ [ ] ไม่ใช่ การแปลผล: หากคุณตอบ "ใช่" 1-5 ข้อ: คุณอาจมีความเสี่ยงต่ำ แต่ควรระวังและปรับพฤติกรรมบางอย่าง หากคุณตอบ "ใช่" 6-10 ข้อ: คุณมีความเสี่ยงปานกลาง ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงาน หากคุณตอบ "ใช่" 11 ข้อขึ้นไป: คุณมีความเสี่ยงสูง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำโดยเร็ว หมายเหตุ: Checklist นี้ใช้เพื่อการประเมินเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่การวินิจฉัยทางการแพทย์ หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ การป้องกันและแก้ไข คาโรชิ ซินโดรม (Karoshi Syndrome) จัดการเวลาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ: กำหนดเวลาทำงานที่ชัดเจนและพยายามไม่ทำงานล่วงเวลามากเกินไป ใช้เทคนิคการบริหารเวลา เช่น เทคนิค Pomodoro เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน: กำหนดเวลาสำหรับครอบครัว เพื่อน และกิจกรรมส่วนตัว หาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ดูแลสุขภาพร่างกาย: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และควบคุมปริมาณ นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน จัดการความเครียด: ฝึกเทคนิคผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ หรือโยคะ พูดคุยกับคนใกล้ชิดหรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อรู้สึกเครียด เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ: ฝึกการปฏิเสธงานที่เกินความสามารถหรือเวลาที่มี ตั้งขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว พัฒนาทักษะการทำงาน: เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ฝึกการจัดลำดับความสำคัญของงาน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน: สื่อสารอย่างเปิดเผยกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า สร้างเครือข่ายสนับสนุนในที่ทำงานเพื่อช่วยให้การทำงานราบรื่นขึ้น ตรวจสุขภาพประจำปี: ทำการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อติดตามสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ พิจารณาเปลี่ยนงานหรืออาชีพ: หากรู้สึกว่างานปัจจุบันสร้างความเครียดมากเกินไป อาจพิจารณาหางานใหม่หรือเปลี่ยนอาชีพ ให้ความสำคัญกับคุณค่าชีวิต: ทบทวนเป้าหมายชีวิตและสิ่งที่มีความหมายต่อตนเอง ตระหนักว่าความสำเร็จในชีวิตไม่ได้วัดจากการทำงานเพียงอย่างเดียว การเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมการทำงานอาจเป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต เพราะ คาโรชิ ซินโดรม (Karoshi Syndrome) เป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงและอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่รุนแรงถึงชีวิตได้ การตระหนักถึงความสำคัญของสมดุลชีวิตและการดูแลสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ชายวัยทำงานทุกคน ที่จะช่วยสร้างสมดุลระหว่างความสำเร็จในอาชีพ ความสุขในชีวิตส่วนตัว และชีวิตที่ยืนยาว ปราศจากภัยคุกคามจาก คาโรชิ ซินโดรม (Karoshi Syndrome) นั่นเอง บทความที่คุณอาจสนใจ อาหารเสริมสมรรถภาพเพศชายยี่ห้อไหนดี ช่วยให้กระชุ่มกระชวย เดินลดความอ้วน เดินลดไขมัน ผู้ชาย ต้องเดินวันละกี่นาที ลดน้ำหนักได้จริง ลดความอ้วน ไม่ควรกินอะไร อาหารที่ไม่ควรกินตอนลดน้ำหนัก ของอร่อยที่ทำให้ผู้ชายอ้วน อาหารลดพุงมื้อเย็น แบบไทยๆ สำหรับผู้ชาย โปรตีนสูง ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ ลดน้ำหนัก อร่อยไม่อ้วน กินอะไรลดพุงได้ อาหารลดพุงเร่งด่วน ลดพุงทำไง ผู้ชาย อ้วนลงพุงต้องกิน 9 สาเหตุของผู้ชายที่ทำให้ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ เพราะอะไร มีวิธีแก้อย่างไร -------------------------------------------------

รู้จักภาวะหมดไฟในความสัมพันธ์ Relationship Burnout เมื่อภาวะหมดไฟ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการทำงาน
อ่าน

รู้จักภาวะหมดไฟในความสัมพันธ์ Relationship Burnout เมื่อภาวะหมดไฟ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการทำงาน

ภาวะหมดไฟในความสัมพันธ์ Relationship Burnout คืออะไรภาวะหมดไฟในความสัมพันธ์คือ ภาวะที่เหนื่อยล้าทางอารมณ์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อแรงกดดัน และความต้องการในการรักษาความสัมพันธ์มีมากกว่าทรัพยากรและการสนับสนุนที่มีอยู่เพื่อหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ภาวะหมดไฟไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ของคู่รักเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเรื่องเพศ และความใกล้ชิดอีกด้วย เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือทั้งคู่ประสบกับความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ หรือทางจิตใจ มักจะนำไปสู่การถอนตัวทางอารมณ์ ความต้องการทางเพศจะลดลง และทั้งความใกล้ชิด และกิจกรรมทางเพศก็ลดลงด้วยปัจจัยหลายที่สามารถนำไปสู่ภาวะหมดไฟในความสัมพันธ์ เช่นการแบ่งงานกันทำที่บ้านไม่เท่าเทียมกัน ฝ่ายหนึ่งรับผิดชอบงานบ้านมากกว่า การขาดสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายรู้สึกหมดไฟในการทำงาน ความเครียดในครอบครัว ความขัดแย้งกับพ่อแม่ หรือพ่อแม่สามีภรรยา การเติบโตที่ลดลงของคู่รัก มีกิจวัตรซ้ำซาก และความเบื่อหน่าย ทางเพศ หรือทางอารมณ์โดยปกติแล้ว ภาวะนี้ไม่ได้มาจากการแตกหัก หรือวิกฤตที่รุนแรงเพียงครั้งเดียวแต่เป็นการสะสม และการสึกหรอทีละน้อยจากความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ความขัดแย้งที่ไม่ได้รับการแก้ไข ความเครียดเรื้อรัง และการขาดการเชื่อมโยงอย่างต่อเนื่อง คำแนะนำแก่คู่รักในการรับมือกับภาวะหมดไฟ และฟื้นฟูความสัมพันธ์ มีดังนี้ยอมรับปัญหานักเพศศาสตร์และครูสอนเรื่องเพศกล่าวว่าการยอมรับความจริงว่าความสัมพันธ์นั้นได้เข้าสู่ภาวะหมดไฟแล้วเป็นขั้นตอนแรก โดยสิ่งสำคัญคือต้องไม่กล่าวโทษ หรือวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกัน และกันจงแสดงความรู้สึกของคุณออกมาโดยพูดว่า ฉันสังเกตเห็น หรือ ฉันรู้สึก และถามว่าคู่ของคุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องต่าง ๆ จงเปิดใจคุยกันอย่างจริงใจเกี่ยวกับความเครียด และความหงุดหงิด เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสแบ่งปันโดยไม่ถูกขัดจังหวะรับผิดชอบส่วนหนึ่งของภาวะหมดไฟอาจรวมถึงการโทษกันเอง และไม่รับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดภาวะหมดไฟในความสัมพันธ์ คู่รักมักคิดว่าทางออกคือให้คู่รักเปลี่ยนแปลงตัวเอง นักบำบัดการสมรส และครอบครัวกล่าวว่า หนทางที่ดีที่สุดคือการพิจารณาบทบาทของตนเองในพลวัตนั้น และไตร่ตรองว่าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อช่วยให้ความสัมพันธ์พัฒนาได้อย่างไรสื่อสารกันอยู่เสมอ การหมดไฟในความสัมพันธ์มักจะแย่ลงเพราะว่าคู่รักมักเพิกเฉยต่อปัญหาต่าง ๆ จนกระทั่งรู้สึกว่ารับมือไม่ไหว ให้แบ่งเวลาในแต่ละสัปดาห์เพื่อพูดคุยกับคู่รักของคุณบ้าง พูดคุยกันถึงความปรารถนาที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ โดยที่ทั้งสองฝ่ายสามารถแสดงความคิดเห็นได้ โดยรับฟังความต้องการของกัน และกัน และมองหาการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณทั้งคู่เห็นพ้องต้องกัน ไม่ควรเป็นการสนทนาครั้งเดียว แต่ควรเป็นการสนทนาอย่างต่อเนื่องการพูดคุยถึงปัญหาที่ร้ายแรงอาจดูเครียด แต่การสื่อสารสามารถช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การบอกคู่รักของคุณว่าคุณกำลังประสบปัญหาสามารถช่วยควบคุมระบบประสาท และสร้างช่องทางในการเชื่อมต่อ จากนั้น คุณสามารถทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่ทรงพลังที่ช่วยปลอบประโลมระบบประสาทได้มากขึ้น เช่น จูบกัน 6 วินาที โอบกอดกัน เดินเล่นกลางแจ้ง กอดกัน อ่านหนังสือออกเสียง หรือมีเพศสัมพันธ์ ลองทำอะไรใหม่ ๆ ร่วมกันการให้ความสำคัญกับเวลาของคู่รักเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะหมดไฟในความสัมพันธ์ จงปกป้องเวลาเหล่านี้ และจัดตารางเวลาให้เหมือนกับการนัดหมายที่สำคัญหรือการประชุมงานแนะนำให้เน้นไปที่ประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่น การลองเรียนคลาสใหม่ด้วยกัน การไปเดินป่า หรือแม้แต่การทำอาหารตามสูตรใหม่ ๆ เพื่อจุดประกายความสัมพันธ์ และความตื่นเต้นอีกครั้ง ความแปลกใหม่ และความสนุกสนานยังช่วยให้คุณเชื่อมโยงกันในลักษณะที่ไม่รู้สึกเหมือนการทำงานอีกฟื้นฟูตัวเองเมื่อจบวันเมื่อคุณใช้ชีวิตร่วมกับคู่ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเงิน ในฐานะพ่อแม่ ในฐานะเพื่อนร่วมห้อง คุณอาจพลาดเวลาส่วนตัว และการไตร่ตรองถึงตัวเองได้ง่าย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีความจำเป็นในการป้องกันภาวะหมดไฟลองพิจารณาวิธีฟื้นฟูตัวเองด้วยตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โยคะ สมาธิ งานอดิเรก และให้กำลังใจซึ่งกัน และกันในการดูแลตัวเอง การฟื้นฟูตัวเองจะช่วยให้คุณมีพลังที่จำเป็นในการจัดการกัความสัมพันธ์ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อต้องจัดการกับความสัมพันธ์ คุณไม่จำเป็นต้องทำคนเดียว การขอความช่วยเหลือจากนักบำบัดคู่รัก หรือนักบำบัดทางเพศสามารถช่วยให้คุณจัดการกับภาวะหมดไฟ ในความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณรู้สึกว่าจำเป็นต้องมีบุคคลที่เป็นกลาง หรือผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อแนะนำคุณตลอดกระบวนการโดยคุณไม่จำเป็นต้องรอการปรึกษาหารือกับนักบำบัดเมื่อภาวะหมดไฟปรากฏบางครั้งการป้องกันก่อนที่จะเกิดความเสียหายที่ลึกซึ้งย่อมดีกว่าการจัดการกับภาวะหมดไฟในความสัมพันธ์ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความสัมพันธ์ที่ดี และเป็นเรื่องของการเปลี่ยนจากรูปแบบของการตัดขาดไปเป็นรูปแบบของการเชื่อมโยงใหม่โดยตั้งใจ คู่รักสามารถทำงานร่วมกันเพื่อฟื้นฟูความสนิทสนม และการเชื่อมโยงกันได้ด้วยการจดจำสัญญาณ และดำเนินการเชิงรุก

Headlines Stress Syndrome พาดหัวข่าวพาเครียด เสพข่าวอย่างไร สุขภาพจิตไม่พัง
อ่าน

Headlines Stress Syndrome พาดหัวข่าวพาเครียด เสพข่าวอย่างไร สุขภาพจิตไม่พัง

สงครามอิสราเอล-อิหร่าน กำแพงภาษีสหรัฐฯ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา คลื่นข่าวสารที่โหมซัดเข้ามาไม่หยุด นอกจากเนื้อหาที่ชวนเครียดแล้ว การพาดหัวข่าวหรือตั้งชื่อข่าว เพื่อกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้ชม ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตที่เกิดจากการเสพข่าวสารมากจนเกินไปได้ ในทางจิตวิตยาเรียกภาวะนี้ว่า Headline Stress Disorder หรือภาวะเครียดจากการอ่านพาดหัวข่าว Headline Stress Disorder คืออะไร?Headline Stress Disorder แปลตรงตัวว่า ภาวะเครียดที่เกิดจากพาดหัวข่าว การเสพข่าวหรือรับข้อมูลเชิงลบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งบางครั้งข่าวสารนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรง วิกฤติการณ์ และเหตุการณ์เศร้าโศกอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เกิดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า และรู้สึกหมดหวังต่ออนาคตผู้ที่ประสบปัญหานี้มักมีอาการนอนไม่หลับ มีความคิดเชิงลบ และหลีกเลี่ยงการติดตามข่าวสาร แต่กลับรู้สึกผิดที่ไม่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันแม้ Headline Stress Disorder ไม่ใช่ชื่อโรค แต่ก็เป็นภาวะทางสุขภาพจิต ที่หากปล่อยไว้หรือไม่รับมือป้องกันให้ดี ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยร่วมได้เสพข่าวหนักๆ ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจข่าวสารปัจจุบันหลั่งไหลไม่ขาดสาย ดังนั้น การเลือกเสพข่าวสารเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การเสพข่าวที่หดหู่หรือเครียดกระทบต่อสุขภาพมากกว่าที่คิดผู้ที่ประสบปัญหานี้มักมีอาการนอนไม่หลับ มีความคิดเชิงลบ และหลีกเลี่ยงการติดตามข่าวสาร แต่กลับรู้สึกผิดที่ไม่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันอาการด้านจิตใจ ทำให้ เครียด กังวล และซึมเศร้า ส่วนด้านร่างกาย ทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ และความดันโลหิตสูงใครเสี่ยงโรคนี้มากที่สุด?1. คนที่มีความอ่อนไหวอยู่แล้วการเสพสื่อเครียดๆ ยิ่งเข้าไปตอกย้ำอารมณ์อ่อนไหวของตัวเอง จนกลายเป็นความเครียด หากสะสม ก็อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้2. คนที่ติดโซเซียลมีเดียมีโอกาสเสพข่าวเยอะกว่าคนที่ไม่ได้ใช้เวลากับหน้าจอมากนัก แถมคนกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะได้รับข่าวปลอมสูงกว่าคนอื่นๆ ด้วย3. คนที่มีภาวะเครียดและซึมเศร้าอยู่แล้ว หากได้รับข่าวสารที่น่ากังวล หรือเกิดความเครียด โอกาสที่จะเกิดภาวะ headline anxiety จึงสูงกว่าคนปกติ ป้องกันความเครียดจากการเสพข่าวมากเกินไป1. ไม่เชื่อพาดหัวข่าวที่เห็นในทันที เพราะพาดหัวมักเขียนเกินจริงเสมอ จึงควรอ่านเนื้อหาข่าวเพื่อเข้าใจเนื้อหาทั้งหมด ป้องกันความเครียดที่อาจเกิดขึ้นจากการอ่านพาดหัวอย่างเดียว2. จำกัดเวลาเล่นโซเซียลมีเดีย และหาเวลาทำกิจกรรมคลายเครียด ทำให้ตัวเองผ่อนคลายจากการเสพข่าวสารบ้าง3. เลือกเสพข่าวที่ไม่เครียดมากจนเกินไป เนื่องจากมีคอนเทนต์มหาศาลบนโลกออนไลน์ ทำให้คนเสพสื่อมีทางเลือกในการอ่านข่าวสาร ซึ่งไม่ได้มีอยู่แค่เพียงเรื่องหนัก หรือ หดหู่อย่างเดียว

MBTI 16 บุคลิกภาพ ในเวลา Burn Out
อ่าน

MBTI 16 บุคลิกภาพ ในเวลา Burn Out

  MBTI 16 บุคลิกภาพ อาจมีความเสี่ยงในการประสบกับอาการ Burnout หากพบว่าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่มีแรงกดดันมาก เช่น การทำงานที่ต้องมีการตัดสินใจต่อเนื่อง การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นอย่างบ่อยครั้ง หรือต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมสำหรับบุคคลนั้น ๆวันนี้ผู้เขียนจะมาเขียนเรื่อง MBTI 16 บุคลิกภาพ ในเวลา Burn Out  ISTJ (Introverted Sensing Thinking Judging) เพราะ ISTJ คือบุคลิกของนักคำนวณ ISTJ มักจะเป็นคนที่ใส่ใจกับรายละเอียดและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ความกดดันจากงานที่ต้องทำตามกฎเกณฑ์หรือระเบียบวิชาชีพอาจทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าและเบื่อหน่ายได้ง่ายขึ้นISFJ (Introverted Sensing Feeling Judging)  เพราะ ISFJ คือบุคลิกของผู้ตั้งรับ ISFJ มักมีความกระตือรือร้นในการดูแลผู้อื่นและปฏิบัติตามหน้าที่ การบาดเจ็บทางอารมณ์หรือการต้องดูแลผู้อื่นเป็นเวลานานอาจสร้างความเครียดและเหนื่อยล้าให้กับพวกเขาINFJ (Introverted Intuition Feeling Judging)  เพราะ INFJ คือบุคลิกของผู้แนะนำ INFJ มักมีความกระตือรือร้นในการสนับสนุนผู้อื่นและทำงานที่มีความหมาย ความต้องการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอาจส่งผลให้พวกเขาเข้าสู่สถานการณ์ที่ Burnout กับตัวเองได้INTJ (Introverted Intuition Thinking Judging) เพราะ INTJ คือบุคลิกของนักออกแบบ INTJ มักมีความตั้งใจที่แข็งแรงในการตั้งเป้าหมายและการทำตามแผนงาน การทำงานที่ซับซ้อนหรือต้องการการวางแผนที่เจอแต่อุปสรรครวมถึงการเข้าสังคมมากเกินไปอาจทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าและต้องการเวลาพักผ่อนมากกว่าเดิมได้ISTP (Introverted Sensing Thinking Perceiving) เพราะว่า ISTP เป็นบุคลิกของผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ ISTP มักมีความสนใจในการแก้ไขปัญหาและการทำงานที่เกี่ยวข้องกับทักษะเชิงวิชาชีพ อาจมีความกดดันเมื่อต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมหรือต้องการการตัดสินใจฉับไว.ISFP (Introverted Sensing Feeling Perceiving) เพราะว่า ISFP เป็นบุคลิกของนักผจญภัย ISFP มักมีความเป็นอารมณ์และเพ้อฝันสูง การทำงานที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือการต้องทำงานเป็นทีมอาจทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าและ Burnout ได้INFP (Introverted Intuition Feeling Perceiving) เพราะ INFP คือบุคลิกของนักไกล่เกลี่ย INFP มักมีความอ่อนไหวและใส่ใจในความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น การทำงานที่ต้องการเอาใจใส่ผู้อื่นหรือต้องปฏิบัติตามกำหนดเวลาอาจส่งผลให้พวกเขารู้สึก Burnout ได้INTP (Introverted Intuition Thinking Perceiving) เพราะว่า INTP เป็นบุคลิกของนักตรรกะ INTP มักมีความสนใจในการแก้ไขปัญหาและการศึกษาด้านองค์ความรู้ การทำงานที่ต้องทำงานกับข้อมูลที่ซับซ้อนหรือต้องการวางแผนอาจทำให้พวกเขารู้สึก  Burnout ได้ESTP (Extraverted Sensing Thinking Perceiving) เพราะ ESTP คือบุคลิกของผู้ประกอบการ ESTP มักมีความสนใจในการกระทำและประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ความกดดันจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันหรือต้องการการปฏิบัติตามกำหนดเวลาอาจทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าESFP (Extraverted Sensing Feeling Perceiving) เพราะ ESFP คือบุคลิกของผู้มอบความบันเทิง ESFP มักมีความสนใจในความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น ความต้องการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นหรือการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อาจส่งผลให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าENFP (Extraverted Intuition Feeling Perceiving) เพราะ ENFP คือบุคลิกของนักรณรงค์  ENFP มักมีความสนใจในการสนับสนุนผู้อื่นและความคิดสร้างสรรค์ ความต้องการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นหรือการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้า และ Burnout ได้ENTJ (Extraverted Intuition Thinking Judging) เพราะ ENTJ คือบุคลิกของผู้บัญชาการ ENTJ มักมีความมุ่งมั่นและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ความกดดันจากงานที่ต้องตัดสินใจและการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องต่อสู้เพื่อเป้าหมายอาจส่งผลให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าได้ESTJ (Extraverted Sensing Thinking Judging) เพราะ ESTJ คือบุคลิกของผู้บริหาร ESTJ มักมีความรับผิดชอบสูงและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ความกดดันจากงานที่ต้องมีการบริหารจัดการและการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องทำตามกฎเกณฑ์อาจทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าESFJ (Extraverted Sensing Feeling Judging) เพราะ ESFJ คือบุคลิกของผู้มอบคำปรึกษา ESFJ มักมีความเป็นอารมณ์และใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่น การต้องดูแลและปฏิบัติตามกำหนดเวลาหรือการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องดูแลผู้อื่นเป็นเวลานานอาจส่งผลให้พวกเขารู้สึก Burn out ได้ENFJ (Extraverted Intuition Feeling Judging) เพราะ ENFJ คือบุคลิกของตัวเอก ENFJ มักมีความสนใจในการสนับสนุนผู้อื่นและการทำงานที่มีความหมาย ความต้องการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นหรือการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องเอาใจใส่ผู้อื่นอาจส่งผลให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าได้ENTP (Extraversion, Intuition, Thinking, Perceiving) เพราะ ENTP คือบุคลิกของนักโต้วาที เมื่อคุณมีการทำงานหนักและเครียดอย่างต่อเนื่อง คุณสามารถมีอาการ Burnout ได้  ผู้เขียนเป็น INFP นะ ผู้เขียนไม่ใช่เพื่อนๆชาว INTJ ENTJ และ INFJ ที่จะสามารถทำงานได้เป็นเวลานานๆโดยไม่รู้สึกเหนื่อยหรือล้าได้ แม้แต่หุ่นยนตร์ยังมีเวลาพังของตัวเองเลย ผู้เขียนรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างากยและจิตใจสำหรับงานที่ทำได้ค่ะ นอกจากนี้ยังพบว่ามีปัญหาในการแบ่งเวลาในชีวิตประจำวันในการทำสิ่งต่างๆอีกไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การอ่านหนังสือ การเขียนหนังสือ การเขียนบทความ หรือการวาดรูปหรือแม้แต่การตามอ่านข่าวเศรษฐกิจตามราคาหุ้น การทำงานซ้ำๆเดิมๆเป็นรูทีนชีวิตเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและเสี่ยงต่อการ Burn out มากในสายตาของผู้เขียน และผู้เขียนพบว่าการอดทนกับคนที่ toxic นั้นน่าเบื่อและต้องใช้ความอดทนรวมถึงเสี่ยงต่ออาการ Burn out ที่เหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจมากกว่างานที่ผู้เขียนอดทนทำทุกวันอีก   บทความอื่นๆที่น่าสนใจ : MBTI 16 บุคลิกภาพ กับการแสดงออกความรักMBTI 16 บุคลิกภาพ กับการบอกความลับMBTI 16 บุคลิกภาพ รับมือกับปัญหายังไงMBTI 16 บุคลิกภาพ กับ รูปแบบการทำงานMBTI 16 บุคลิกภาพ กับ การระเบิดอารมณ์ ขอขอบคุณเครดิตรูปภาพ หน้าปก / Canvaรูปภาพประกอบที่ 1  โดย Tumisu / 2 / 3 / 4 โดย RosZie/ pixabay7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์

BetterBack Luxe Posture Support อุปกรณ์ปรับสรีระป้องกันหลังงอ ลดการเกิด Office Syndrome
อ่าน

BetterBack Luxe Posture Support อุปกรณ์ปรับสรีระป้องกันหลังงอ ลดการเกิด Office Syndrome

ด้วยชีวิตการทำงานแบบ New Normal ทำให้ผู้คนปรับตัวมาทำงานนั่งโต๊ะหน้าคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น บางครั้งด้วยสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ประกอบกับการทำงานจนลืมตัวอาจทำให้คุณนั่งหลังงอโดยไม่รู้ตัว และอาจกลายเป็นสาเหตุของการเกิดโรค Office syndrome ได้ในอนาคตBetterBack Luxe Posture Support เข้ามาเพื่อช่วยปรับท่าทางของหนุ่มสาววัยทำงานเหล่านี้ให้เหมาะสม สามารถใช้งานได้ง่ายไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตามวิธีการทำงานของ BetterBack Luxe Posture Support นั้นง่ายมาก ๆ ในอุปกรณ์นี้จะประกอบไปด้วยชิ้นส่วนที่เป็น Memory foam โฟมนุ่มคุณภาพเดียวกับที่ใช้ในองค์การนาซา ช่วยซัพพอร์ตส่วนหัวเข่าและแผ่นหลังส่วนล่าง อีกหนึ่งส่วนคือยางยืดคุณภาพสูงที่ใช้งานได้อย่างยาวนานที่มาของภาพhttps://deals.newatlas.com/sales/betterback-luxe?utm_source=newatlas.comutm_medium=referralutm_campaign=betterback-luxeutm_term=scsf-447641utm_content=a0x1P000004YikCQASscsonar=1itm_source=newatlasitm_medium=article-bodyเมื่อต้องการใช้งาน เพียงแค่สวมแผ่น Memory foam ของ BetterBack Luxe Posture Support เข้าไปที่แผ่นหลังและหัวเข่า สายรัดยางยืดจะทำหน้าที่เหมือนตัวล็อกให้ร่างกายของคุณอยู่ในจุดที่เหมาะสมได้ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ล็อกแน่นจนคุณขยับไม่ได้ ด้วยสายรัดยางยืดทำให้คุณขยับเขยื้อนไปตามลักษณะบริเวณที่นั่งได้ ดังนั้น คุณจึงสามารถใช้ BetterBack Luxe Posture Support ได้ตั้งแต่นั่งทำงานบนเก้าทั่วไป จนถึงการนั่งสมาธิที่มาของภาพhttps://deals.newatlas.com/sales/betterback-luxe?utm_source=newatlas.comutm_medium=referralutm_campaign=betterback-luxeutm_term=scsf-447641utm_content=a0x1P000004YikCQASscsonar=1itm_source=newatlasitm_medium=article-bodyจากการสัมภาษณ์ผู้ใช้งานจริง พบว่า BetterBack Luxe Posture Support ช่วยลดอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี เพียงแค่ใช้งานไปได้สัก 15 นาที ก็ช่วยลดการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ดีกว่าการนั่งแบบธรรมดาทั่วไปที่มาของภาพhttps://deals.newatlas.com/sales/betterback-luxe?utm_source=newatlas.comutm_medium=referralutm_campaign=betterback-luxeutm_term=scsf-447641utm_content=a0x1P000004YikCQASscsonar=1itm_source=newatlasitm_medium=article-bodyสำหรับผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ผ่านทาง ลิ้งก์นี้ ในราคา ในราคาเพียง 49.99 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1,500 บาทขอขอบคุณข้อมูลจาก New Atlasเกาะติดข่าวที่นี่website: www.TNNThailand.comfacebook : TNNThailandfacebook live : TNN Livetwitter : @TNNThailandLine : @TNNONLINEYoutube Official : TNNThailandInstagram : @tnn_onlineTIKTOK : @tnnonline

4 วิธี หลีกเลี่ยง Office syndrome
อ่าน

4 วิธี หลีกเลี่ยง Office syndrome

สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรากลัวที่สุดรองลงมาจากการถูกไล่ออกคือ ปัญหาเรื่องสุขภาพที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคยอดฮิตอย่าง ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับคนวัยทำงานทั่วไป ที่ต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวันทำให้ผลร้ายที่เกิดขึ้นตามมาคือ ระบบกระดูกและหล้ามเนื้อเกิดการอักเสบ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมคนวัยทำงานจึงชอบบ่นว่าเจ็บตรงนู้น ปวดตรงนี้ ด้วยเหตุนี้เอง วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับดีๆ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรมมาฝากคนวัยทำงานทุกคน ถ้าอยากรู้แล้วตามไปดูกันเลย 1. จัดวางโต๊ะทำงานให้เหมาะสม ขอบคุณรูปภาพจาก https://pixabay.com/th/users/lukasbieri-4664461/ ชีวิตในวัยทำงานของชาวออฟฟิศส่วนใหญ่จะต้องนั่งทำงานหน้าคอมฯ ตลอดทั้งวัน ขั้นต่ำ 8-9 ชั่วโมง ดังนั้น การจัดวางโต๊ะทำงานให้เหมาะสมจะเป็นการหลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรมได้ดี เพราะจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเป็นผลทำให้การนั่งทำงานถูกต้องตามสรีระ ยกตัวอย่างเช่น เสริมหมอนหนุนหลังที่เก้าอี้ หาที่รองเท้าเมื่อเก้าอี้สูงจนเกินไป หรือ เลือกเม้าส์ที่มีองศาการวางมือที่เหมาะสม เป็นต้น 2. พักยืดเส้นยืดสาย ขอบคุณรูปภาพจาก https://pixabay.com/th/users/geralt-9301/ แค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกาย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนั่งทำงานไปได้สักระยะควรพักยืดเส้นยืดสาย หรือลุกขึ้นยืนบิดตัวไปมา สะบัดมือขยับข้อเท้า เพื่อลดอาการเกร็ง และควรปรับเปลี่ยนท่านั่งในทุกๆ 30 นาที เพื่อลดความเมื่อยล้าที่เกิดจากการทำงาน เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คนที่ทำงานในออฟฟิศห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรมได้เป็นอย่างดี  3 .ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ขอบคุณรูปภาพจาก https://pixabay.com/th/users/StockSnap-894430/ แน่นอนว่าสิ่งที่ช่วยได้ดีที่สุดคือ การหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรหาเวลาว่างตอยเย็น หรือวันหยุดไปออกกำลังกายบ้าง แม้จะทำงานหนักแค่ไหนแต่ต้องไม่ลืมว่าสุขภาพสำคัญที่สุด เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้กล้ามเนื้อของเราแข็งแรง และร่างกายมีภูมิต้านทานมากยิ่งขึ้นด้วย 4. นอนให้ถูกวิธี ขอบคุณรูปภาพจาก https://pixabay.com/th/users/Claudio_Scott-4913238/ พักผ่อนให้เพียงพอและที่สำคัญเลย คือ การนอนอย่างถูกวิธีจะสามารถช่วยได้ วิธีการคือปรับที่นอนให้เหมาะสมกับการนอน หรือเลือกที่นอนที่ไม่นุ่มและไม่แข็งจนเกินไป เพื่อลดอาการปวดหวัง นอกกจากนั้นการนำหมอนที่มีขนาดพอเหมาะมารองใต้ขาเวลานอน จะช่วยลดอาการปวดขาได้ดีเลยทีเดียว และทั้งหมดนี้ก็คือ 4 วิธี หลีกเลี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรม เป็นอย่างไรกันบ้าง หวังว่าทั้ง 4 วิธีนี้จะสามารถช่วยป้องกันคนวัยทำงานทุกคนให้ห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรมได้แล้ว สุดท้ายขอฝากข้อคืดเอาไว้ว่า แม้คุณจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้การทำงานเพื่อสร้างชีวิตที่มั่นคงแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญต้องไม่ลืมว่าควรหมั่นดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองด้วย อย่าเอาเวลาทั้งชีวิตที่ทำงานเก็บเงินมากมาย แทนที่จะได้นำเงินเหล่านั้นไปใช้สร้างความสุข แต่ต้องเอาเงินมาให้หมอรักษาเราในตอนแก่แทน เพราะท้ายที่สุดแล้วการไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐอย่างแท้จริง   ขอบคุณรูปภาพหน้าปกจาก https://pixabay.com/th/users/StartupStockPhotos-690514/